วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

20 อันดับ ผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก


20 อันดับ  ผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก

ในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่าน Forbes Magazine ได้เปิดเผยรายชื่อประจำปีในการจัดอันดับผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก 100 ลำดับ โดยการจัดนั้น มีพื้นฐานเรื่องต่างๆ เช่น จากการที่เธอเหล่านั้นอยู่ในสายตาของสาธรณชน รวมถึงผลประทบทางด้านเศรษฐกิจ การจัดอันดับนี้เป็นการบอกอย่างคร่าวๆถึงผู้หญิงที่สร้างความแตกต่างให้กับโลก รายชื่อในปีนี้ มีผู้หญิงที่เป็นผู้นำของประเทศจำนวน 8 คน ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร 25 คน เจ้าของกิจการ 12 คน และคนดังในแวดวงบันเทิง 1 คน






อันดับที่ 1 : คุณ Angela Merkel ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเยอรมัน อยู่ในอันดับสูงสุดของรายชื่อผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกที่จัดอันดับโดย Forbes magazine ในปีนี้ติดอันดับสูงสุดมาแล้ว 6 ครั้งในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา  คุณๆ คงเคยได้ยินชื่อของ อังเกล่า แมร์เคิ่ล นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเยอรมนีมาไม่มากก็น้อย ไม่รู้คุณจะคิดเหมือนฉันไหมว่า ถ้าดูจากบุคลิก รูปร่างหน้าตา ที่เราเห็นกันในภาพ ทำไม๊ ทำไม ผู้นำประเทศคนสำคัญที่นิตยสารฟอร์บส์ จัดให้เป็น ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกมาสองปีติดกันแล้ว ดูเป็นแม่บ้านจัง!

เธอไม่ได้ดูแกร่งเป็นหญิงเหล็กอย่างมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ไม่ได้ดูเฉี่ยว มั่นใจอย่างฮิลลารี คลินตัน แมร์เคิ่ลดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ แล้วผู้หญิงเรียบง่ายอย่างเธอต่อสู้ฟันฝ่าก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของเยอรมนีได้ยังไงนะ?

ได้ค้นคว้าหาประวัติของเธออ่านก็ยิ่งต้องอึ้ง ใครเลยจะคิดว่า อดีตนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันตะวันออกที่แต่งงานมาแล้วสองครั้ง และไม่มีลูก บุคลิกแสนเชย ไม่มีความโดดเด่นใดๆ จะก้าวมาเป็นผู้นำของเยอรมนีได้

แมร์เคิ่ล มีชื่อเต็มว่า อังเกลา โดโรเธีย คาสเนอร์ เกิดเมื่อปี 1954 ในเมืองฮัมบวร์ก มี คุณพ่อเป็นนักบวชศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ คุณแม่เป็นครู หลังจากเกิดได้ไม่นาน คุณพ่อคุณแม่ของเธอได้อพยพไปยังเยอรมนีตะวันออก แมร์เคิ่ลจบดอกเตอร์ด้านฟิสิกส์ ทำงานวิจัยเกี่ยวกับทฤษฏีควอนตัม พูดคล่องทั้งภาษาเยอรมัน อังกฤษ และรัสเซีย ขอเดาว่าเวลาเจอประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย คงจะพูดรัสเซียกันไฟแล่บเลยทีเดียว

แมร์เคิ่ลก้มหน้าก้มตาทำงานวิจัยทดลองของเธอ จนกระทั่งในปลายทศวรรษ 80s ที่เธอเริ่มหันมาสนใจการเมืองบ้าง โดยเธอได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่ม Democratic Renewal ต่อต้านรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก

หลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย เมอร์เคิ่ลย้ายมาอาศัยอยู่ในเยอรมันตะวันตก และเริ่มเข้าสู่การเมืองโดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคสหภาพคริสเตียนประชาธิปไตย (CDU) เป็นที่รู้กันดีว่า เฮลมุท โคห์ล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สนับสนุนเธอเป็นพิเศษ เพราะต้องการฐานเสียงจากเยอรมันตะวันออก แมร์เคิ่ลได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงครอบครัวและผู้หญิง และกระทรวงสิ่งแวดล้อม เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในยุคนั้น

ก้าวกระโดดทางการเมืองของแมร์เคิ่ลมาถึงในปี1999 เมื่อพรรค CDU ต้องเผชิญกับข้อครหารับเงินสนับสนุนพรรคอย่างผิดกฏหมาย ทำให้ชื่อเสียงของนายกรัฐมนตรีโคห์ล, ว่าที่ผู้นำพรรคคนต่อไปอย่าง โวล์ฟกัง ชอยเบิล และนักการเมืองคนอื่นๆ ในพรรคย่ำแย่ไปตามๆ กัน แมร์เคิ่ลจึงกลายเป็นตัวเลือกของสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ที่จะฉุดภาพลักษณ์ของพรรคให้ดีขึ้น เธอได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคในปี 2000

แน่นอนว่ามีแรงต้านจากนักการเมืองในพรรคไม่น้อย โดยเฉพาะนักการเมืองผู้ชาย แต่จะว่าไปแล้ว แมร์เคิ่ลเจอแรงต้านมาโดยตลอดในหลายๆ ด้าน เช่น เรื่องสถานภาพครอบครัวของเธอ พรรค CDU ซึ่งเป็นพรรคค่อนข้างเคร่งศาสนาคริสต์นิกายแคธอลิก ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวมาก แต่แมร์เคิ่ลนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เป็นแม่ม่ายหย่าสามี และไม่มีลูก แม้เธอจะแต่งงานใหม่เมื่อปี 1998 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอเข้ากับพรรคอย่าง CDU ได้มากนัก

หรือข้อครหาว่าเธอเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะสมัยเป็นวัยรุ่น แมร์เคิ่ลเคยเป็นสมาชิกองค์กรเยาวชนคอมมิวนิสต์ ที่ชื่อว่า Free German Youth Organization เธอบอกว่าเธอทำไป ก็เพื่อที่จะได้มีที่เรียนในมหาวิทยาลัย โชคดีที่เธอไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญอะไรมากในองค์กร ข้อกล่าวหาก็เลยฟังไม่ขึ้น

แม้กระทั่งเรื่องรูปลักษณ์ของเธอก็ตกเป็นขี้ปากของคน สมัยที่แมร์เคิ่ลเล่นการเมืองใหม่ๆ ใครๆ ก็หัวเราะเยาะเธอ ด้วยความที่เธอไม่แต่งตัว ทำผมทรงเชยๆ ใส่ชุดสูทโทรมๆ นักการเมืองมักจะพูดกันลับหลังว่า โอ๊ย จะคาดหวังอะไรมากกับพวก Ossie (ชาวเยอรมันตะวันออก)" ขนาดหนังสือพิมพ์ยังชอบลงรูปของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอเป็นพวกสหายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเธอไม่เคยเป็น เวลาเจอเรื่องแบบนี้ เธอมักจะตอบกลับว่า คนที่ฉลาดมีกึ๋น มีเรื่องจะพูด ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางค์หรอก

อันที่จริงมีนักวิเคราะห์บอกว่าจริงแมร์เคิ่ลไม่น่าจะมีเพื่อนในพรรคมากนัก ด้วยความที่เธอเป็นคนเยอรมันตะวันออก ที่มาอยู่ในพรรคที่มีคนเยอรมันตะวันตกเป็นใหญ่ ก็ทำให้ผู้คนตั้งแง่กับเธอว่ามีความเป็นตะวันออกเกินไป และคอยจ้องรอวันเธอก้าวพลาด ในขณะที่ชาวเยอรมันตะวันออกก็ปฏิเสธเธอ หาว่าเป็นตะวันตกเกินไป นอกจากเสียงและลายมือแล้ว ไม่มีความเป็นตะวันออกเหลืออยู่ในตัวแมร์เคิ่ลอีกเลยเพื่อนเก่าแก่ของแมร์เคิ่ลอย่างไมเคิล ชินด์เฮล์ม นักเคมีผู้ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาดูแลโรงละครในเบอร์ลิน บอก

แต่แมร์เคิ่ลก็ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวที่ต่อต้านเธอได้ทั้งหมด ห้าปีให้หลัง เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเยอรมนี เป็นผู้นำประเทศคนแรกที่มาจากเยอรมนีตะวันออก และเกิดหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ผลงานของรัฐบาลแมร์เคิ่ลก็นับว่าไม่ขี้เหร่ ผลการสำรวจความนิยมในช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งได้ครบ 2 ปี ชี้ว่าประชาชนกว่า 76% เห็นว่ารัฐบาลของเธอทำงานได้อย่างน่าพึงพอใจ เป็นระดับคะแนนที่สูงกว่านายกรัฐมนตรีผู้ชายทั้ง 7 คนก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกัน และเป็นระดับความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่สูงที่สุดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ความนิยมของเธอในสองปีแรกมาจากผลงานระดับนานาชาติเป็นส่วนใหญ่ ชาวเยอรมันชื่นชมบทบาทของแมร์เคิ่ลเมื่อกลางปีที่ผ่านมาที่เธอสามารถจะต่อกรกับผู้นำโลกอย่างประธานาธิบดีบุช ปูติน และซาร์โกซี่ได้อย่างเสมอภาค สามารถโน้มน้าวให้กลุ่มประเทศ G8 เห็นพ้องที่จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในระดับที่น่าพอใจ จนเธอได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า “Miss World”

นอกจากนั้น เมอร์เคิ่ลก็สามารถชักนำให้ประเทศสมาชิกอียู ตกลงเห็นด้วยกับสนธิสัญญาฉบับใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญของอียู ซึ่งไม่ผ่านประชามติในประเทศฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ก่อนหน้านี้

ส่วนการเมืองในประเทศนั้น ประชาชนต่างชื่นชมรัฐบาลที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้โดยอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 3% ตัวเลขการส่งออกของเยอรมนีสูงที่สุดในโลก รวมทั้งตัวเลขของคนว่างงานก็ต่ำที่สุดในรอบห้าปีด้วย (แต่ถ้าไปถามอดีตนายกรัฐมนตรีชโรเดอร์ แห่งพรรค SPD เขาก็คงจะบอกว่าเป็นผลงานของเขา แมร์เคิ่ลมาชุบมือเปิบ)

แม้ว่าคงจะมีสถานการณ์ทางการเมืองระดับรัฐ อาจจะทำให้ภาพรวมของรัฐบาลผสมของแมร์เคิ่ลต้องสั่นคลอนบ้าง แต่นักวิจารณ์หลายคนบอกว่าแมร์เคิ่ลน่าจะผ่านเทอมแรกไปได้อย่างไม่อยากนัก ไร้ซึ่งทั้งคู่ต่อสู้และเรื่องอื้อฉาว

แม้ตอนนี้เธอจะมีชื่อเสียงมาก แต่แมร์เคิ่ลก็ยังดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายกับนายโยอาคฮิม ซาวเออร์ สามีนักฟิสิกส์ของเธอ ซึ่งแต่งงานกันใหม่ เมื่อปี 1998 แทบไม่มีข่าวคาวใดๆ ให้สื่อมวลชนได้ขุดคุ้ย ภาพของแมร์เคิ่ลที่ไปจ่ายตลาดหลังเลิกงานเหมือนแม่บ้านคนอื่นๆ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเธอไม่ได้เสแสร้งและขยันมุ่งมั่นกับการทำงาน

ความติดดินของแมร์เคิ่ลยังเผื่อแผ่ไปถึงสามีของเธอด้วย ในวันที่เธอเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น นายซาวเออร์ไม่ได้ไปร่วมในพิธี แต่(ข่าวรายงานว่า)นั่งดูถ่ายทอดสดพิธีอยู่ที่บ้าน จนหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีอย่าง Bild พาดหัวข่าวแซวในวันรุ่งขึ้นว่าแมร์เคิ่ล - สามีเธอไปอยู่ที่ไหน?”

ในแง่การทำงาน นักการเมืองที่ได้ร่วมงานด้วยต่างก็เห็นตรงกันว่า แมร์เคิ่ลเป็นคนพูดน้อย เยือกเย็น ไม่โอ้อวด สุภาพและตรงประเด็น เธอเป็นนักฟังที่ดี แม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคนอื่น แต่ก็จะรับฟัง บางคนบอกว่ามันน่ารำคาญที่เธอไม่ยอมบอกว่าเธอคิดเห็นอย่างไร ไม่ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ แต่เมอร์เคิ่ลบอกว่าเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเธอ ก็คือการไม่เร่งรีบหาข้อสรุป ฉันชอบที่จะค่อยๆ มองปัญหาอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะตรวจสอบว่ามันจะมีกับดักอยู่ที่ไหนบ้างนิสัยของนักวิทยาศาสตร์โดยแท้

แมร์เคิ่ลไม่ชอบเป็นข่าว ซึ่งตรงกันข้ามกับนายกฯ คนก่อนอย่างชโรเดอร์ ที่ชอบวางมาด ทำตัวเป็นข่าวหวือหวาตามหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดเวลา เช่นใส่เสื้อโค้ทแคชเมียร์ถ่ายแบบให้กับนิตยสารแฟชั่น

บางทีอาจจะเป็นความติดดินของแมร์เคิ่ลนี่เอง ที่ช่วยทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบของชาวเยอรมัน

สำหรับฉัน คนที่ไม่ได้รู้เรื่องการเมืองในประเทศเยอรมนีมากมายนัก ฉันชอบบุคลิกของเธอที่ไม่พูดมากแต่ทำเลย รวมไปถึงท่าทีการสนับสนุนประเด็นปัญหาระดับนานาชาติต่างๆ เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อม และล่าสุดเรื่องประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีน ซึ่งแมร์เคิ่ลให้การต้อนรับอย่างดีและพบปะพูดคุยกับทะไลลามะ เมื่อปีที่แล้ว ทำให้รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมาก และความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเยอรมนีสั่นคลอนพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องการค้า ทำให้บริษัทเยอรมันที่ต่างก็พยายามแย่งชิงดีลใหญ่ๆ ในจีนมาจากประเทศอื่นๆ บ่นโวยวายพอสมควร



ฉันว่านักการเมืองทั่วไป คงเลือกที่จะไม่ทำให้ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจอย่างจีนไม่พอใจ แม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนีเอง แฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ก็ยังบอกว่าเขาจะเลือกวิธีการที่รอบคอบและนุ่มนวลกว่านี้

แต่แมร์เคิ่ลบอกว่า อย่างแรกที่สุด การที่ฉันต้อนรับทะไลลามะ กับการจัดการความสัมพันธ์กับจีนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน แต่ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนว่าได้รับการปกป้องหรือละเมิดอย่างไร ซึ่งจุดยืนของเยอรมันนั้นชัดเจน และการต้อนรับทะไลลามะก็เป็นส่วนนึงของเรื่องนี้ล่าสุด มีรายงานว่าเธอยินดีและมีแผนที่จะพบกับดาไลลามะอีกครั้ง

เพราะแมร์เคิ่ลได้แสดงให้เห็นว่าเธอมีจุดยืน และเลือกที่จะทำในสิ่งที่เธอเชื่อมั่น ทำให้ได้ใจใครหลายๆคนไปเต็มๆ เลย



อันดับที่ 2 : นาง Hillary Rodham Clinton ตำแหน่ง United States Secretary of State คนที่ 67 ในรัฐบาลที่นำโดยนาย Barack Obama

Hillary Rodham Clinton เป็นภริยาของอดีตประธานาธิบดีคนดังของอเมริกา นาย Bill Clinton.

ทั่วโลกเริ่มรู้จักชื่อฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตันในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในปี 1993 เมื่อนายวิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน หรือที่มักรู้จักกันในนามบิล คลินตันได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ในฐานะสุภาพสตรีหมายเลข 1 เธอมีหน้าที่ต้องแสดงบทบาทสนับสนุนประธานาธิบดีหลายอย่าง แต่เรื่องที่เป็นข่าวดังทั่วโลกเมื่อเกิดเหตุอื้อฉาวทางเพศระหว่างตัวประธานาธิบดีคลินตันกับนักศึกษาหญิงที่มาฝึกงานในทำเนียบขาวคนหนึ่ง สื่อมวลชนนำเสนอข่าวความระหองระแหงระหว่างคู่สามีภรรยาอย่างต่อเนื่อง

แต่นั่นไม่เป็นเหตุให้เธอท้อแท้ ฮิลลารี คลินตัน ลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งวุฒิสมาชิกเป็นครั้งแรกและชนะการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกมลรัฐนิวยอร์กในคราวเลือกตั้งปลายปี 2000 และชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2006 ได้เป็นวุฒิสมาชิกต่ออีกสมัย

เส้นทางการเมืองของเธอไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ในปี 2007 เธออาจหาญประกาศลงชิงตำแหน่งผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2008 เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคที่ลงชิงตำแหน่งดังกล่าว และคู่แข่งสำคัญของเธอไม่ใช่อื่นใคร นั่นคือวุฒิสมาชิกบารัก โอบามาหรือประธานาธิบดีคนปัจจุบันนั่นเอง

ด้วยความสามารถส่วนตัวอันโดดเด่นกับคะแนนนิยมภายในพรรคเดโมแครตที่เป็นรองเฉพาะนายโอบามา เธอจึงได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเมื่อนายโอบามาชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี และเริ่มฉายความสามารถให้ทั่วโลกได้ประจักษ์

รัฐมนตรีคลินตันนิยามหลักการทำงานของเธอว่าเป็น การทูตสาธารณะ เธอต้องการนำเสนอจุดยืนหลักคิดของอเมริกาผ่านสื่อทุกประเทศ เพราะเธอคือตัวแทนของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ส่งสาสน์จากประเทศตนไปสู่คนทั่วโลก

เช่นกลางเดือนกรกฎาคม เธอได้เดินทางรอบโลกด้วยการเยือน 9 ประเทศ เริ่มจากฝรั่งเศส ต่อด้วยอัฟกานิสถาน ญี่ปุ่น มองโกเลีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา อียิปต์ จบที่อิสราเอล แล้วจึงบินกลับประเทศ คิดเป็นระยะทางบิน 43,450 กิโลเมตร (มากกว่าระยะทางรอบโลก 3,220 กิโลเมตร) และเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เยือนต่างประเทศมากที่สุดกว่าร้อยประเทศ

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเธอต้องเผชิญหน้ากับผู้นำประเทศต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งพวกเห็นด้วยกับนโยบายสหรัฐฯ กับพวกที่คัดค้านต่อต้าน มีวาระที่ต้องเผชิญหน้ากับการโต้แย้ง การไม่เห็นด้วย จากผู้นำเหล่านั้น

เฉพาะในรอบเดือนที่ผ่านมา เธอต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งของประเทศอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก ต้องเผชิญกับปัญหาการเผาโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่อสถานกงสุลสหรัฐฯ ประจำเมืองเบงกาซี ต้องเตรียมการป้องกันสถานทูต สถานที่สำคัญๆ ทั่วโลกจากเหตุมุสลิมลุกฮือประท้วงเพราะภาพยนตร์ลบหลู่ศาสนา จนถึงนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกโรงโจมตีความอ่อนแอของประธานาธิบดีโอบามาต่อนโยบายโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่าน

ประเด็นร้อนแรงที่เธอต้องเผชิญครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องการเผาโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ ประจำเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย เอกอัครราชทูตพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันอีก 3 คนเสียชีวิตในบริเวณสถานกงสุล ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลโอบามาสามารถพลิกเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการแสดงจุดยืนว่าประชาธิปไตยยังหมายถึงการที่พลเมืองมีเสรีภาพในการพูดสิ่งที่เขากับกลุ่มของเขาคิดเห็นโดยปราศจากความกลัว บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและกระบวนการที่ปกป้องสิทธิของทุกคน แผ่นดินอเมริกาเป็นบ้านของคนทุกความเชื่อทุกศาสนา และรัฐบาลสหรัฐฯ กับลิเบียกำลังเร่งหาตัวผู้กระทำผิดซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนลิเบีย รัฐบาลและชาวลิเบียไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย

ไม่ว่าความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร ความผิดพลาดความสับสนของข้อมูลเหตุการณ์อยู่ตรงไหน ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นางฮิลลารี คลินตันยืดอกแสดงความรับผิดชอบว่าตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลกระทรวงการต่างประเทศที่มีเจ้าหน้าที่กว่า 6 หมื่นคนในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก 275 แห่ง ส่วนใครจะตีความว่าเป็นการเบี่ยงเป้าไม่ให้โจมตีประธานาธิบดีโอบามาในช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะมีมุมมองเช่นไร

มาถึงบัดนี้ นางฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 สมัย อดีตวุฒิสมาชิกมลรัฐนิวยอร์ก 2 สมัยและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศประกาศจะไม่ได้รับตำแหน่งสมัยที่ 2 อีกไม่ว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามาจะได้รับเลือกอีกสมัยหรือไม่

รัฐมนตรีคลินตันในวัย 64 ปีตัดสินใจแล้วว่าตนได้มาถึง ณ เวลาที่จะหยุดได้พักจากการงานทั้งปวง แม้ใจนั้นยังตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้ชาติตลอดไป

คนจำนวนมากจะเฝ้ารออ่านหนังสืออัตชีวประวัติของหญิงแกร่งหญิงเก่งคนนี้

รัฐมนตรีต่างประเทศฮิลลารี คลินตัน กล่าวสุนทรพจน์สุดท้าย ความตอนสุดท้ายว่า และมาถึงวันนี้ หลังจากทำหน้าที่มาสี่ปี เดินทางมาแล้วเกือบ 1 ล้านไมล์ เยี่ยมเยือน 112 ประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความเชื่อมั่นต่อประเทศของเรา เชื่อมั่นว่าอนาคตของเราจะดีขึ้น ข้าพเจ้ารู้ว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อเครื่องบินสีฟ้าขาวประทับด้วยคำว่า สหรัฐอเมริกาแตะพื้นบนเมืองหลวงบางแห่งที่ห่างไกล ข้าพเจ้าได้รับเกียรติอย่างสูงส่งพร้อมกับความรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของประเทศที่สำคัญยิ่งของโลก ข้าพเจ้ามั่นใจว่าผู้รับงานต่อจากข้าพเจ้า ทีมงานของเขา และทุกคนที่ทำงานในตำแหน่งต่างๆ -ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสิทธิพิเศษ-จะทำหน้าที่นำในศตวรรษนี้ดังเช่นที่เราได้ทำเมื่อศตวรรษก่อน ด้วยความชาญฉลาด ไม่รู้จักเหนื่อยล้า เต็มด้วยความกล้าหาญ เพื่อจะทำให้โลกนี้มีสันติภาพมากขึ้น ปลอดภัยขึ้น มั่งคั่งขึ้น และมีอิสรภาพมากขึ้น และนั่น ข้าพเจ้าขอขอบคุณยิ่ง

 




อันดับที่ 3 : ดิลมา รูสเซฟฟ์  เธอเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศบราซิล ปีนี้เป็นปีที่ 2 mเธอถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 3 ในรายชื่อผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก

ปลายปี ๒๐๑๐ ต่อเนื่องถึงต้นปี ๒๐๑๑ คือช่วงเวลาที่ประชาชนในบราซิลตื่นเต้นกันมากเป็นพิเศษเมื่อ ดิลมา รูสเซฟฟ์ ชนะการเลือกตั้ง ครองตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ ๓๖ เป็นผู้นำสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์บราซิลที่จะนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

และกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดิลมาต้องฟันฝ่าอุปสรรคบนเส้นทางการเมืองมาเกือบตลอดชีวิต เธอคือบุตรสาวของ เปโดร รุสเซฟฟ์ นักกฎหมายและนักธุรกิจชาวบัลแกเรีย อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์บัลแกเรีย ที่ลี้ภัยการเมืองมาอยู่ในบราซิล มารดาเป็นครูชื่อ ดิลมา เจน ดา ซิลวา ดิลมาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีฐานะ และถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำสำหรับเด็กหญิง ที่บังคับให้พูดเฉพาะภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่ชั้นอนุบาล แต่ในปี ๑๙๖๔ ขณะที่ ดิลมา อายุ ๑๗ ปี บิดาของเธอเสียชีวิต จึงออกจากโรงเรียนเดิมมาอยู่ในโรงเรียนสหศึกษาของรัฐ ที่นักเรียนมักจะหาเรื่องก่อกวนรัฐบาลเผด็จการหลังจากที่ทหารก่อการปฏิวัติยึดอำนาจ และเส้นทางการเมืองของดิลมาก็เริ่มต้นขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้เอง เธอเริ่มสนใจการเมืองและการปกครองของประเทศที่มีแต่บ่อนทำลาย และเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม Worker's Politics ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรรคสังคมนิยมบราซิล (Brazilian Socialist Party) ในปี ๑๙๖๓ ก่อนร่วมเป็นตัวการสำคัญในการวางแผนโค่นล้มรัฐบาลทหารกับขบวนการใต้ดิน กลายเป็นอาชญากรการเมืองที่ถูกตั้งฉายาว่า "โจนออฟอาร์คแห่งกองกำลังเกอริลลา" ต่อมา ในปี ๑๙๗๐ (อายุ ๒๓ ปี) ดิลมาถูกจับ และถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆสารพัด ทั้งถูกเตะต่อย เฆี่ยนตี และถูกช็อตไฟฟ้าด้วยอุปกรณ์นานาชนิดนานกว่ายี่สิบวัน ก่อนถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาหกปี แต่หลังจากที่ดิลมารับโทษอยู่ในคุกแล้วสามปี ศาลทหารจึงมีคำตัดสินให้เธอรับโทษเพียงแค่สองปีกับหนึ่งเดือนเท่านั้น เท่ากับเธอได้ใช้โทษเกินไปเกือบหนึ่งปี

ดิลมากลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง ตอนปลายปี๑๙๗๒ ในสภาพซูบผอมและเป็นโรคไทรอยด์ และถูกทางมหาวิทยาลัย Minas Gerais Federal University หมายหัวไม่รับเธอเข้าเรียนต่อ ดิลมาจึงสมัครเรียนคอร์สสั้น ๆ เฉพาะวิชาเพื่อสอบเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Rio Grande do Sul Federal University ซึ่งรับเธอเข้าเรียนจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในปี ๑๙๗๗ โดยไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรรมทางการเมืองของนักศึกษาอีก และมีงานทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกที่สถาบันเศรษฐศาสตร์และสถิติ (Foundation of Economics and Statistics) ของภาครัฐบาลประจำรัฐรีโอกรันดีโดซูล

ในปี ๑๙๗๘ ดิลมาเข้าเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ระดับปริญญาโทที่ Campinas State University แต่เรียนไม่จบเพราะไม่ได้ส่งวิทยานิพนธ์ หลังจากนั้นดิลมาได้หวนกลับไปเรียนอีกครั้งด้วยความตั้งใจที่จะทำปริญญาเอก แต่ต้องพักการเรียนไปชั่วคราวเพราะติดภารกิจในหน้าที่ของเลขาธิการฝ่ายพลังงาน ก่อนจะหวนกลับไปเรียนปริญญาเอกอย่างจริงจังอีกครั้ง ในปี ๑๙๙๘ ปีเดียวกับที่พรรคแรงงานซึ่งเธอเป็นสมาชิก ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐรีโอกรันดีโดซูล เธอจึงได้กลับเข้าไปนั่งเก้าอี้เลขาธิการฝ่ายพลังงานอีกครั้ง และเมื่อ ลูลา ดา ซิลวา ชนะการเลือกตั้ง และได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ในปี ๒๐๐๒ เขาก็มอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานให้กับ ดิลมา และเธอก็ได้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบประธานาธิบดีในสมัยที่ ๒ ของประธานาธิบดี ลูลา ก่อนได้รับการสนับสนุนให้ลงสนามเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคแรงงาน เมื่อพ้นสมัยที่ ๒ ของประธานาธิบดีลูลา และ ดิลมา รูสเซฟฟ์ ก็สามารถพิชิตคู่แข่ง โฮเซ่ เซียร์รา ด้วยคะแนน ๕๖ ต่อ ๔๔ เปอร์เซ็นต์

วันที่ ๑ มกราคม ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ ค.ศ.๒๐๑๑ ดิลมา รูสเซฟฟ์ สาบานคนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของบราซิล ท่ามกลางเสียงต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง รวมทั้งเสียงแสดงความชื่นชมยินดีจากประเทศบัลแกเรีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของบิดา ที่เฝ้าติดตามการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และนายกรัฐมนตรีบอยโก้ บอริซอฟ แห่งบัลแกเรีย ก็ไม่รีรอที่จะส่งเทียบเชิญ ดิลมา ไปเยือนประเทศของตนทันทีที่รู้ผลการเลือกตั้ง และได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงระดับ Order of Stara Planina ให้เป็นเกียรติแด่ ดิลมา เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ค.ศ.๒๐๑๑ ที่ผ่านมานี้

ดิลมา รูสเซฟฟ์ เคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเธอแต่งกับนักหนังสือพิมพ์ชื่อ คลาอูดิโอ กาเลโน ซึ่งเป็นผู้ชักนำเธอเข้าไปร่วมกับขบวนการใต้ดิน เมื่ออายุยี่สิบต้นๆ เมื่อปี ๑๙๖๘ แต่เลิกร้างกันหลังจากนั้นไม่กี่ปี เมื่อดิลมาเริ่มคบหาสนิทสนมกับ คาร์ลอส แฟรงคลิน ไปเชา เดอ อาราอูโจ เพื่อนร่วมขบวนการใต้ดิน และแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดิลมากับอาราอูโจอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยามานานเกือบสามสิบปี โดยที่ในระหว่างนั้นเคยแยกกันอยู่พักหนึ่ง ในปี ๑๙๙๔ เมื่อดิลมาจับได้ว่าเขาไปมีลูกกับหญิงอื่น แต่แล้วก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีก จนกระทั่งหย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการ ในปี ๒๐๐๐ สมัยที่อาราอูโจถูกจับขังคุก โดยที่ดิลมาเป็นอิสระพ้นออกมาก่อน เธอสู้อุตส่าห์อาสาเข้าไปสอนหนังสือให้นักโทษโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เพื่อจะได้มีโอกาสพบกัน ดิลมากับอาราอูโจมีบุตรสาวด้วยกันคนหนึ่งชื่อ พอล่า รูสเซฟฟ์ ปัจจุบันอายุ ๓๖ ปี สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย และเป็นอัยการศาลแรงงานอยู่ที่โปร์ตูอาเลเกร สมรสกับนักบริหารชื่อ ราฟาเอล โคโวโล และมีหลานยายให้ดิลมาหนึ่งคน เป็นเด็กชายชื่อ เกเบรียล รูสเซฟฟ์ ปัจจุบันอายุ ๑ ขวบครึ่ง และเป็นแก้วตาดวงใจของ ดิลมา รูสเซฟฟ์






อันดับที่ 4 : Melinda Gates และ Bill Gates สามีของเธอ เป็นหนึ่งของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และก่อตั้งองค์กรการกุศลที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลด้านต่างๆเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ... ปีฤดูร้อนปีนี้ Melinda Gates เป็นพาดหัวของข่าวดัง เมื่อเธอออกมาท้าทายจุดยืนในแนวทางการปฏิบัติในเรื่องของการคุมกำเนิดของ Vatican

คุณ Melinda Gates ปฏิญาณว่าเธอจะทุ่มเทแรงกาย และเงินทองไม่ว่าจะเท่าใด ในการปรับปรุงการเข้าถึงยาคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงในหลายๆประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

จาก Melinda French ซึ่งเติบโตใน Dallas ในครอบครัวคนชั้นกลางที่ขยันขันแข็ง กลายเป็น Melinda Gates เจ้าของบ้านสุดไฮเทคหลังมหึมาริมทะเลสาบ Lake Washington ซึ่งแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา และกำลังบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือคนในประเทศกำลังพัฒนา ผ่านมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ซึ่งมีทรัพย์สินมากถึง 37,600 ล้านดอลลาร์ และนับเป็นมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทรัพย์สินดังกล่าวของมูลนิธิ Gates รวมถึงเงินบริจาคจำนวน 3.4 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้รับจาก Warren Buffett มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว Gates นอกจากนี้ Buffet ยังกำลังจะบริจาคหุ้น B อันมีค่า ของบริษัท Berkshire Hathaway ของเขา จำนวน 9 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 41,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่มูลนิธิ Gates ในปีต่อๆ ไปด้วย

หากหุ้นของ Berkshire ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และสองสามีภรรยา Gates ยังคงบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของตนเองต่อไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ว่า ตลอดชีวิตของ Melinda และ Bill Gates พวกเขาคงจะบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล เป็นเงินสูงถึงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน มูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation บริจาคเงินไปแล้ว 14,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่มูลนิธิ Rockefeller Foundation เคยบริจาคไปทั้งหมดนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1913

หลังจากแต่งงานกับ Bill Gates เมื่อ 14 ปีก่อน และดูแลมูลนิธิที่ตั้งชื่อตามชื่อของพวกเขา Melinda ต้องสละทั้งความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความเรียบง่ายและชีวิตปกติสุข Melinda กลัวการปรากฏตัวต่อสาธารณะ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอต้องต้อนรับรัฐมนตรีสาธารณสุข 4 คนจากชาติแอฟริกา ซึ่งมาเป็นแขกในงาน Malaria Forum ที่จัดขึ้นที่ Seattle โดยมูลนิธิ Bill & Melinda Gates

Melinda สามารถบรรลุเป้าหมายในวันนั้น คือการกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมากกว่า 300 คน เพื่อประกาศแผนกำจัดโรคมาลาเรีย ที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 1 ล้านคนในแต่ละปี และเป็นโรคที่ยังไม่มีใครกำจัดได้มานานหลายศตวรรษ

กระนั้นก็ตาม Melinda ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักนัก แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่รับบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากมูลนิธิของเธอกับสามี

แต่ในวันนี้ Melinda Gates ในวัย 43 ปี พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ความจริงเธอเคยตั้งใจไว้แล้วว่า เมื่อลูกคนเล็กเข้าโรงเรียน เธอจะเปิดเผยตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่เธอชอบที่จะเก็บตัวไปตลอดชีวิตมากกว่า ลูกสาวคนโตยังทำให้เธอคิดหนักถึงนี้ เพราะเธอต้องการให้ลูกก้าวขึ้นเป็นคนสำคัญ ไม่ว่าในเรื่องใดก็ตามที่ลูกของเธอจะเลือกทำในอนาคต Melinda จึงต้องการทำตัวเป็นต้นแบบให้แก่ลูกสาว และตัดสินใจที่จะทำงานในมูลนิธิของเธอมากขึ้นเป็น 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ Melinda มองเห็นว่า ผู้หญิงที่เข้มแข็งในประวัติศาสตร์ ต่างก็ลุกขึ้นยืนและเปิดเผยตัวต่อสาธารณะทั้งสิ้น

อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ Bill เองก็จะทำอย่างเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม Bill ซึ่งแก่กว่าภรรยา 9 ปี จะใช้เวลามากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ทำงานการกุศล และจะลดเวลาการทำงานในฐานะประธานบริษัท Microsoft ลงเหลือเพียง 15 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ เขายกตำแหน่ง CEO ให้แก่ Steve Ballmer ซึ่งทำงานกับเขามานาน 28 ปี ไปเรียบร้อยแล้ว

Melinda จบปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัยเดียวกันคือ Duke University เธอเก่งกาจในด้านกีฬามากกว่าสามี Melinda วิ่งอาทิตย์ละครั้ง โดยสามารถวิ่งได้ 7 ไมล์ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เธอพยายามออกกำลังกาย 5 วันต่อสัปดาห์ และยังเคยเข้าร่วมการวิ่งมาราธอนและปีนถึงยอดเขา Mount Rainier ซึ่งมีความสูง 14,410 ฟุตมาแล้ว

Bill ยอมรับว่า Melinda มีความสามารถในการเข้าใจคนอื่นๆ ได้ดีกว่าเขา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการตัดสินใจว่า ควรนำเงินของมูลนิธิไปช่วยเหลือใครและที่ใด Melinda ยิ่งมีอิทธิพลในการตัดสินใจมากกว่า

ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วที่ Melinda และ Bill ตกลงว่า จะเลือกช่วยเหลือเพียงบางปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้คนเดือดร้อนมากที่สุด และจะเลือกช่วยคนที่เคยถูกละเลยทอดทิ้งไม่ได้รับการช่วยเหลือมาก่อน เพราะพวกเขาต้องการให้ความช่วยเหลือในจุดที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดก่อน และต้องการช่วยเหลือในจุดที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิ Bill & Melinda Gates จึงไม่ได้บริจาคเงินให้แก่สมาคมโรคมะเร็งของอเมริกา แต่หันไปบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อต่อสู้และกำจัดโรคร้ายต่างๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก ซึ่งโรคที่สำคัญที่สุดได้แก่ โรค AIDS มาลาเรีย และวัณโรค นอกจากนี้ ทั้งสองยังสนใจช่วยเหลือโรงเรียนมัธยมที่ล้มเหลวในสหรัฐเอง ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขาเห็นว่าถูกทอดทิ้งละเลยในอดีต

ในขณะที่ Bill สนใจทางด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนและวิธีช่วยเหลือในเชิงวิทยาศาสตร์อื่นๆ ซึ่งต้องใช้เวลานับสิบๆ ปีกว่าที่จะเห็นผล แต่ Melinda ต้องการจะช่วยให้คนพ้นจากความเดือดร้อนในทันที เพราะเธอเห็นว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากที่จำเป็นจะต้องทำ นอกเหนือไปจากการคิดค้นวัคซีนรักษาโรค

ดังนั้น มูลนิธิ Gates จึงเน้นบริจาคเงินสำหรับสิ่งที่เรียกว่า การแทรกแซงได้แก่ มุ้งชนิดพิเศษที่มียาฆ่าแมลง ซึ่งสามารถจะฆ่ายุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรียได้ ยาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ (เจลใสไร้กลิ่นสำหรับผู้หญิงใช้ทาช่องคลอด) เพื่อป้องกันการติดโรค AIDS สิ่งเหล่านี้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่ยังต้องเผชิญกับโรคร้าย ในระหว่างที่กำลังรอความสำเร็จของการคิดค้นวัคซีน

มูลนิธิ Gates ยังสนับสนุนการให้สินเชื่อรายเล็กๆ และการประกันชีวิต เพื่อช่วยให้คนที่ยากจนที่สุดสามารถเริ่มต้นธุรกิจและทำการเกษตร และภารกิจล่าสุดของสองสามีภรรยา Gates ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ Melinda เดินทางไป Kenya เมื่อ 2 ปีก่อนคือ การทำให้เกิดการปฏิวัติเขียวในแอฟริกา เลียนแบบโครงการที่เคยสามารถเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรในลาตินอเมริกาและในเอเชียได้สำเร็จมาแล้ว ในช่วงทศวรรษ 1940

เพื่อนๆ ของครอบครัว Gates ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Melinda ช่วยให้ Bill กลายเป็นคนที่เปิดกว้างมากขึ้น อดทนมากขึ้น และมีเมตตากรุณา และแม้แต่ตัว Bill ก็ยอมรับว่า Melinda สำคัญต่อเขามาก

ในขณะที่ Bill มีมันสมองเป็นเลิศ แต่ Melinda มีความสามารถในการมองเห็นภาพรวม Judith Rodin ประธานมูลนิธิ Rockefeller ซึ่งเป็นพันธมิตรของมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ในโครงการการกุศลมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ในปี 2006 กล่าวว่า Melinda เป็นนักคิดที่สามารถมองเห็นระบบโดยรวมทั้งหมด

ส่วน Bono ดาราเพลงร็อคและนักมนุษยธรรมชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนกับสองสามีภรรยา Gates สรุปว่า Bill กับ Melinda เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน Bono กล่าวว่า คนจำนวนมากมักจะเหมือน Bill และตัวเขา ที่รู้สึกสลดใจและพลุ่งพล่าน เมื่อได้รับรู้ข่าวที่มีคนต้องสูญเสียชีวิตจำนวนมาก บางครั้งพวกเขาก็ต้องการคนที่สามารถจะช่วยยั้งรั้งให้พวกเขาได้หยุดคิด และ Melinda ก็คือคนๆ นั้น

Warren Buffett นักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว Gates มาตั้งแต่ปี 1991 บอกว่า Bill จำเป็นต้องมี Melinda และเธอทำให้ Bill ตัดสินใจได้ดีขึ้น แม้ Bill จะฉลาดเป็นกรด แต่ Melinda เป็นคนที่มองภาพรวมได้ดีกว่า

หากคุณประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะในเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีใครบางคนได้ให้ชีวิตหรือให้ความคิดแก่คุณ ที่ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง จงจำไว้ว่า คุณยังคงเป็นหนี้แก่ชีวิต จนกว่าวันหนึ่งคุณจะได้ช่วยคนอื่นที่โชคดีน้อยกว่าคุณ เหมือนเช่นที่คุณเคยได้รับมานี่คือสิ่งที่ Melinda เคยพูดไว้ในปี 1982 เมื่อได้เป็นผู้แทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์อำลาการจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม Ursuline Acadamy

Melinda มีภูมิหลังที่แตกต่างจาก Bill Gates ผู้มีชื่อเต็มๆ ว่า William H. Gates III ซึ่งมีบิดามารดาคือ Bill และ Mary Gates เป็นผู้นำชุมชนใน Seattle แต่ Melinda French เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักอภิสิทธิ์หรือความร่ำรวย Ray French บิดาของ Melinda เป็นวิศวกรธรรมดาคนหนึ่ง ขณะที่มารดาของเธอเป็นแม่บ้านผู้ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยและนึกเสียใจตลอดมา พ่อแม่ของ Melinda จึงมักจะบอกลูกๆ ทั้งสี่เสมอว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการเรียนในมหาวิทยาลัยใด พ่อแม่ก็จะส่งเสียให้ได้ Melinda เป็นลูกสาวคนที่ 2 ของครอบครัว มีพี่สาวอายุแก่กว่า 14 เดือนและน้องชายอีก 2 คน

Melinda รู้จักคอมพิวเตอร์เครื่องแรกตั้งแต่อายุ 14 เป็นเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกในตลาด Melinda เรียนรู้ BASIC ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม และสอนให้เด็กคนอื่นๆ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
ชีวิตคือแบบทดสอบสำหรับ Melinda และเธอเชื่อว่า เธอจะต้องสอบได้ที่หนึ่ง Susan Bauer ครูสอนเลขและคอมพิวเตอร์ที่ Ursulin Academy โรงเรียนมัธยมที่ Melinda เคยเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนคาธอลิคสตรีล้วนใน Dallas จำได้ว่า ทุกวันเด็กหญิง Melinda จะต้องมีเป้าหมาย 1 อย่าง เช่น วันนี้จะต้องวิ่งให้ได้ 1 ไมล์ เรียนศัพท์ใหม่ 1 คำ นับตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ในปีแรก Melinda ก็ตั้งเป้าหมายว่า เธอจะต้องสอบได้ที่หนึ่งหรือที่สองของโรงเรียน เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เธอได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ และมหาวิทยาลัยที่เธอหมายตาไว้คือ Notre Dame

คุณครู Bauer ยืนยันว่า Melinda เป็นนักเรียนดีเด่นในแทบทุกด้าน และไม่เคยละทิ้งความมุ่งมั่นและเป้าหมาย แต่ขณะเดียวกัน Melinda ก็เป็นคนที่น่ารักและมีเสน่ห์ และสามารถเอาชนะใจคนอื่นๆ ได้

Melinda ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และได้ไป Notre Dame อย่างที่ต้องการ แต่สุดท้ายมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกกลับเป็น Duke เมื่อ Melinda พบว่า Notre Dam เห็นว่าคอมพิวเตอร์เป็นเพียงแฟชั่น และลดความสำคัญของวิชาคอมพิวเตอร์ลง ในขณะที่ Duke กลับขยายภาควิชาคอมพิวเตอร์

หลังจากจบปริญญาทั้งตรีและโทที่ Duke ภายในเวลา 5 ปี Melinda ตัดสินใจเข้าทำงานที่ Microsoft จากคำแนะนำที่ได้รับจากใน IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่เธอไปฝึกงานว่า Microsoft เป็นบริษัทที่มีโอกาสในความก้าวหน้าสูง

Melinda เข้าทำงานที่ Microsoft ในปี 1987 ในตำแหน่งผู้จัดการการตลาดผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่เป็นรุ่นบรรพบุรุษของ Word ในปัจจุบัน เมื่อเธออายุได้ 22 ปี ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาพนักงานใหม่ และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวใน 10 คนที่จบ MBA เธอพบว่า ที่นี่มีแต่คนแปลกๆ ฉลาด และกำลังทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่ Melindaไม่ชอบวิธีการที่ Bill Gates และ Steve Ballmer ปฏิบัติและดุด่าผู้จัดการ จนถึงกับคิดจะลาออก

แต่ต่อมาเธอพบว่า Bill เป็นคนตลกกว่าที่เธอคิด หลังจากพบกันไม่นาน Bill ก็ขอนัดเธอ แต่ในตอนแรกทั้ง Melinda กับแม่ของเธอไม่คิดว่า การเป็นแฟนกับเจ้าของบริษัทเป็นความคิดที่ดี แม้ว่าในตอนนั้น Bill ได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านแล้ว เมื่อ Microsoft ประสบความสำเร็จในการเข้าตลาดหุ้นในปี 1986 อย่างไรก็ตาม Bill กล่าวว่า เขาและ Melinda รู้สึกถูกใจกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ Melinda ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขา จะต้องไม่ทำให้เธอมีอภิสิทธิ์ใดๆ ในการทำงาน

กระนั้นก็ตาม ภายในเวลาเพียง 9 ปี Melinda ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่สายงานผลิตภัณฑ์สารสนเทศ (Expedia, Encarta, Cinemania) และบริหารพนักงาน 300 คน คุณสมบัติเด่นของ Melinda คือเป็นนักสร้างทีมที่เข้มแข็ง Patty Stonesifer อดีตเจ้านายของ Melinda ที่ Microsoft และขณะนี้เป็น CEO ของมูลนิธิ Bill & Melinda กล่าวว่า ถ้า Melinda ยังทำงานอยู่ เธอก็จะต้องขึ้นถึงระดับผู้บริหารของ Microsoft แน่นอน

Melinda ยอมรับว่าเธอกังวลที่จะแต่งงานกับ Bill เพราะตลอดเวลา เธอได้เห็นว่า ความสำเร็จปล้นความเป็นส่วนตัวและชีวิตที่ปกติสุขไปจากเขา ทั้งคู่ยังไม่แน่ใจด้วยว่า การเป็นนักทุนนิยมผู้พิชิตโลกของ Bill จะไปกันได้กับการมีชีวิตครอบครัว Warren Buffett มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ทั้งสองได้แต่งงานกันในที่สุด

นับตั้งแต่เริ่มรักกันใหม่ๆ Bill กับ Melinda ก็เริ่มพูดถึงการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยอาจจะเริ่มเมื่อ Bill อายุ 60 ไปแล้ว แต่แล้วการจากไปของ Mary มารดาของ Bill ด้วยโรคมะเร็งเต้านม และจดหมายที่เธอเขียนถึงลูกสะใภ้คือ Melinda ซึ่งมีใจความสำคัญว่า ผู้ที่ได้รับมาก ควรจะให้มาก ทำให้เกิดการก่อตั้งมูลนิธิแรกของครอบครัว Gates ขึ้นคือ มูลนิธิ William H. Gates III Foundation ซึ่งบริหารโดยบิดาของ Bill

เริ่มแรกมูลนิธินี้คิดจะบริจาคเครื่อง laptop ให้แก่โรงเรียน แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการทำเพื่อตัวเอง เพราะ Microsoft เป็นบริษัทขายคอมพิวเตอร์ Melinda เองก็เห็นว่า ปัญหาด้านการศึกษาในสหรัฐยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าเพียงความไม่เท่าเทียมด้านเทคโนโลยีเท่านั้น Bill และ Melinda จึงตัดสินใจปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่กว้างขึ้น และเน้นที่โรงเรียนมัธยม

หลังจากที่ทั้งสองแต่งงานกัน Melinda อ่านพบข่าวเด็กๆ ในประเทศกำลังพัฒนา กำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ด้วยโรคที่คนอเมริกันส่วนใหญ่แทบไม่รู้จัก เช่น rotavirus ซึ่งคร่าชีวิตเด็กมากกว่า 500,000 คนทุกปี และโรคร้ายอย่างมาลาเรียและวัณโรค ซึ่งแทบจะหมดไปจากสหรัฐแล้ว แม้ Melinda จะไปโบสถ์เป็นประจำ แต่เธอไม่รู้สึกผิดใดๆ ที่มูลนิธิของเธอให้เงินบริจาคซื้อถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวคาธอลิกที่เคร่งครัดไม่เห็นด้วย เพราะ Melinda เห็นว่า ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันเอดส์และช่วยชีวิตคนได้
ในแต่ละปี มูลนิธิ Gates จะได้รับจดหมายขอเงินบริจาคประมาณ 6,000 ฉบับ แต่สองสามีภรรยาจะช่วยกันพิจารณาเฉพาะจดหมายที่ขอเงินบริจาคตั้งแต่ 40 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

ในขณะที่ Bill ชอบศึกษาจากการอ่านรายงาน แต่ Melinda ชอบเรียนรู้จากประสบการณ์ เธอจึงชวนสามีเดินทางไป Calcutta ซึ่งมีปัญหาโรคเอดส์ระบาดอย่างหนักในปี 2004 และไปแอฟริกาเมื่อ 2 ปีก่อน โดยมีอดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ร่วมทางไปด้วย Clinton เคยกล่าวชื่นชม Melinda ว่าเธอแสดงให้เห็นว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงมักจะเข้มแข็งกว่าผู้ชายเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญเรื่องสำคัญ

แม้มูลนิธิของสองสามีภรรยา Gates จะใหญ่ที่สุดในโลก แต่ Melinda เชื่อว่า จำเป็นต้องผูกพันธมิตรร่วมกับมูลนิธิอื่นๆ ไม่เช่นนั้นเงินของมูลนิธิ Gates ก็อาจจะหมดลงในสักวันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิ Gates จึงจับมือกับองค์การกุศลอื่นๆ หลายแห่ง เช่น Rockefeller, Michael and Susan Dell, Hewlett รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GlaxoSmithKline และ Procter & Gamble ในการทำโครงการต่างๆ มากมาย

แต่พันธมิตรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ GAVI Alliance หรือชื่อเต็มว่า Global Alliance for Vaccines and Immunization ซึ่งสองสามีภรรยา Gates เป็นผู้บริจาคเงินทุนเริ่มต้น 1.5 พันล้านดอลลาร์ ด้วยความร่วมมือที่ได้รับจากรัฐบาลชาติผู้บริจาค 17 ชาติและสหภาพยุโรป GAVI ได้แจกจ่ายวัคซีนกันบาดทะยัก ไวรัสตับอักเสบบี และไข้เหลือง ให้แก่เด็กไปแล้ว 138 ล้านคนใน 70 ประเทศที่จัดว่ายากจนที่สุดในโลก ทำให้อัตราการได้รับวัคซีนในประเทศกำลังพัฒนาพุ่งสูงทำสถิติสูงสุดตลอดกาล และสามารถป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 2 ล้านชีวิต
สำหรับการปฏิรูปการศึกษาในสหรัฐ มูลนิธิ Gates กำลังช่วยโรงเรียน 1,800 แห่ง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้นำในชุมชน ส่วนในนครนิวยอร์ค มูลนิธิให้ทุนตั้งโรงเรียนมัธยมเล็กๆ 43 แห่ง ซึ่งมีอัตราการเรียนจบสูงถึง 73% เทียบกับเพียง 35% ของโรงเรียนทั่วไป

ต่อไป Bill จะให้เวลามากขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ และการคิดค้นเทคโนโลยีด้านการศึกษา รวมทั้งกดดันบริษัทยาที่ยังไม่เคยพัฒนาวัคซีนเพื่อประเทศกำลังพัฒนา ส่วน Melinda ยังคงสนใจในด้านบุคคลและวัฒนธรรมต่อไป
ที่ผ่านมา มูลนิธิ Gates ถูกวิจารณ์ว่า มีเพียงคนที่ใกล้ชิดกับสองสามีภรรยา Gates เท่านั้น ที่สามารถจะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้ และมูลนิธิยังมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก แต่ Melinda กล่าวว่า เธอต้องการจะกระจายการตัดสินใจลงไปในระดับล่าง และหลายปีก่อน มูลนิธิได้รับคำชมเรื่องการตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการให้เงินบริจาค แต่ตัว Melinda เองเห็นว่า ความเร็วไม่สำคัญเท่าความได้ผล และเธอต้องการการพิจารณาให้เงินบริจาคมีระเบียบและเน้นความได้ผลมากกว่านี้

Melinda ยังเชื่อว่า มูลนิธิของเธอตอบรับการถูกตำหนิได้ดีขึ้น ในกรณีที่มูลนิธีถูกกล่าวหาว่า นำสินทรัพย์ของมูลนิธิ ไปลงทุนในบริษัทที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจขัดแย้งกับจุดประสงค์ของมูลนิธิ เช่น BP และ Exxon Mobil โดยในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว Melinda และ Bill สั่งให้ผู้จัดการมูลนิธิลดการถือหุ้นในบริษัทที่ลงทุนในซูดาน ซึ่งมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
ทันทีที่ Melinda แต่งงานกับ Bill เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1994 โดยจัดงานแต่งงานเล็กๆ ขึ้นที่เกาะ Lanai ในหมู่เกาะฮาวาย เธอก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่เธอเรียกว่า วิกฤตชีวิตส่วนตัวเล็กๆ ตั้งแต่แรกที่เธอได้เห็นบ้านที่ Bill สร้างขึ้นริมทะเลสาบ Lake Washington ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 40,000 ตารางฟุต มีโรงรถมากมาย มีสระว่ายน้ำในร่ม โรงหนังส่วนตัวที่มีเครื่องทำข้าวโพดคั่ว และอุปกรณ์ไฮเทคนับไม่ถ้วน จนทำให้เธอนึกว่า กำลังอยู่ในวีดิโอเกม หลังจากเถียงกันอยู่นาน 6 เดือน Melinda ก็ว่าจ้างสถาปนิกคนใหม่ให้ออกแบบบ้านใหม่หมด เพื่อให้บ้านมีความอบอุ่นเป็นส่วนตัวและมีความเป็นบ้านมากขึ้น

เพราะสิ่งที่ Melinda ปรารถนามากที่สุดคือความปกติ เธอต้องการให้ลูกๆ มีชีวิตที่ปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอยืนกรานให้ไล่คนงานกลับไปให้หมดในวันสุดสัปดาห์ โดยเหลือเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น และในแต่ละสัปดาห์จะต้องมีวันที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

ขณะนี้ลูกๆ ทั้งสามของ Bill และ Melinda โตพอที่จะเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่ทำ ทั้งสองเคยพาลูกๆ ไปแอฟริกาใต้ เพื่อไปดูสลัมและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กๆ รู้ว่าพ่อแม่ของเขามีเงินมากมาย แต่ก็สงสัยว่า พ่อแม่จะให้เงินพวกเขามากๆ เหมือนกับที่บริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่คนอื่นๆ หรือไม่ Bill บอกลูกๆ ว่า พวกเขาจะยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย แม้ Bill กับ Melinda จะตั้งใจไว้ว่า จะบริจาคเงิน 95% ของทั้งหมดที่พวกเขามีตลอดชีวิตของพวกเขา แต่ทั้งสองยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะให้สมบัติแก่ลูกๆ เป็นจำนวนเท่าใด Melinda บอกว่า จะทำตามปรัชญาของ Warren Buffett ซึ่งกล่าวว่า คนที่เป็นมหาเศรษฐีควรให้มรดกแก่ลูกๆ มากพอที่จะทำให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่มากจนไม่ต้องทำอะไรเลย

Melinda หัวเราะกับคำถามที่ว่า อะไรคือข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของเธอ บางครั้งเธอก็อยากจะมีชีวิตที่ง่ายกว่านี้ โดยเฉพาะในวันที่เธอจำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก อย่างเช่นวันที่เธอต้องกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เรียกร้องให้ช่วยกำจัดโรคมาลาเรีย หนึ่งในโรคที่ร้ายแรงที่สุดในโลกเท่าที่เราเคยรู้จัก แต่ในที่สุดเธอก็บรรลุเป้าหมายในวันนั้นอย่างสมบูรณ์ และเป้าหมายต่อไปของเธอในวันพรุ่งนี้ อาจจะยิ่งใหญ่กว่านั้น


อันดับที่ 5 : Jill Abramson เป็นผู้บริหารระดับสูงของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่  The New York Times.

เธอเข้ามารับตำแหน่งนี้ในเดือน กันยายน 2011 และเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงของหนังสือพิมพ์ในรอบระตะเวลา 160 ปีที่ผ่านมา

จิลล์อาบรามสันเป็นบรรณาธิการบริหารของนิวยอร์กไทม์ส เธอประสบความสำเร็จบิลเคลเลอร์เมื่อ 6 กันยายน 2011 กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งว่า

นางสาวอาบรามสันเคยเป็นบรรณาธิการบริหารตำแหน่งที่เธอจัดขึ้นตั้งแต่ปี 2003 ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการบริหารนางสาวอาบรามสันได้รับหนึ่งของนายเคลเลอร์เจ้าหน้าที่สองคนข้างบนดูแลห้องแถลงข่าวทั้งหมด ได้รับการแต่งตั้งของเธอถูกประกาศโดยอาร์เธอร์
Sulzberger จูเนียร์สำนักพิมพ์กระดาษและประธาน บริษัท นิวยอร์ไทม์สเมื่อ 2 มิถุนายน 2011

นางสาวอาบรามกล่าวว่าในขณะที่เกิดและยกนิวยอร์กเกอร์เธอคิดว่าการตั้งชื่อบรรณาธิการของเดอะไทมส์ที่จะเป็นเหมือน "ขึ้นสู่
Valhalla."

"ในบ้านของฉันเติบโตขึ้นไทม์แทนศาสนา" เธอกล่าว "ถ้าไทม์สบอกว่ามันก็คือความจริงแน่นอน."

การเลือกนางสาว
Abramson เป็นบางสิ่งบางอย่างออกจากไทม์สำหรับสถาบันที่ได้รับการแต่งตั้งในอดีตบรรณาธิการบริหารที่ได้ขึ้นตำแหน่งผ่านการโพสต์ในที่ทำการต่างประเทศและโต๊ะทำงานการจัดการเช่นเดียวกับต่างประเทศหรือเมโทรโพลิแทน

เธอมาถึงไทม์ในปี 1997 จาก
The Wall Street Journal ซึ่งเธอเป็นหัวหน้าสำนักงานรองและนักข่าวสืบสวนเก้าปี เธอรีบลุกขึ้นที่ไทม์สกลายเป็นบรรณาธิการวอชิงตันในปี 1999 และจากนั้นหัวหน้าสำนักในปี 2000

นายเคลเลอร์ขอให้เธอเป็นบรรณาธิการบริหารของเขาในปี 2003 ในขณะที่เขารวบรวมทีมงานที่เขาหวังว่าจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นในกระดาษหลังจากเรื่องอื้อฉาวการขโมยความคิด
Jayson แบลร์ นางสาวอาบรามสันเคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของบรรณาธิการที่ตัดกับโฮเวลเรนส์บรรณาธิการบริหารผู้ที่ถูกบังคับให้ออกหลังจากการทุจริตนายแบลร์ก็ถูกเปิดเผย

ในปี 2010 นางสาวอาบรามสันก้าวไปข้างชั่วคราวจากหน้าที่วันต่อวันของเธอเป็นบรรณาธิการบริหารที่จะช่วยให้การเรียกใช้การดำเนินงานออนไลน์ที่ไทม์สของย้ายเธอถามเพื่อให้เธอจะพัฒนาฟูลเลอร์
, ประสบการณ์โดยตรงจากการผนวกรวมดิจิตอลและการพิมพ์ พนักงาน

Alpha

 




อันดับที่ 6 : นาง Sonia Gandhi ชาวอิตาเลียนโดยกำเนิด ... เธอเป็นผู้นำพรรค Indian National Congress มายาวนานที่สุด และเป็นภรรยาหม้ายของประธานาธิบดี Rajiv Gandhi แห่งอินเดีย ซึ่งถูกอบสังหารในปี 1991

โซเนียคานธีเป็นผู้นำของฝ่ายค้านในล๊บ้านเบื้องล่างของรัฐสภาอินเดีย เธอเกิด Sonia Maino ในปี 1946 ใกล้ Turin, อิตาลีเพื่อครอบครัวชนชั้นแรงงานและใช้เวลาในวัยเด็กของเธอในภูมิภาคท​​ี่ สัมพันธ์ของเธอกับอินเดียพัฒนาเมื่อเธอได้พบกับราจีฟคานธีลูกชายคนโตของอินทิราคานธีที่โรงเรียนสอนภาษาในเคมบริดจ์อังกฤษ ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1968 ซอนย่าและตั้งรกรากอยู่ในอินเดียกับสามีของเธอ Rajiv ทำงานเป็นนักบินในสายการบินอินเดียและมีเพียงแซนเจย์ตายของพี่ชายของเขาในปี 1980 ในอุบัติเหตุเครื่องบินตกเปลี่ยนหลักสูตรของชีวิตของเขา เขาเดินเข้ามาสู่การเมืองเห็นได้ชัดว่ามีความลังเลใจอันยิ่งใหญ่การตัดสินใจที่มีการกล่าวถึงได้ทำให้ Sonia ไม่มีความสุขเหลือเกิน: เธอเป็นบันทึกว่ามีการกล่าวว่า "สำหรับครั้งแรกที่มีความตึงเครียดระหว่าง Rajiv และฉันต่อสู้เหมือนเสือตัวเมีย -. - สำหรับเขาสำหรับเราและลูกหลานทั้งหมดข้างต้นของเราเพื่อเสรีภาพของเรา ". โซเนียคานธีก็ไม่ค่อยมีให้เห็นในที่สาธารณะและนำมาก "ชีวิตส่วนตัว"; จริง 1984 การลอบสังหารของแม่กฎหมายในของเธอ, อินทิราคานธีก็ไม่ได้เปรียบเทียบที่จะทำให้เธอมองเห็นได้มากขึ้น บางคนคิดว่าในการแข่งขันของบางประเพณีอินเดียควรอมตะ, โซเนียคานธีที่ต้องการที่จะอยู่ข้างสนามโดยเนื้อหาในบทบาทในฐานะภรรยาแม่ของเธอและ - ในระดับหนึ่ง - เจ้าภาพอย่างเป็นทางการ ความเกลียดชังของเธอกับการเมืองได้รับการอธิบายโดยทาเร็คอาลีที่เล่าว่า Sonia กล่าวคือจะต้องบอกว่าเธอจะได้เห็นลูก ๆ ของเธอค่อนข้างกว่าขอเข้าไปในน้ำวนของชีวิตทางการเมืองของอินเดีย

อย่างไรก็ตามการลอบสังหารสามีของเธอในปี 1991 ปูทางสำหรับรายการของ
Sonia มาแฉสาธารณะและสมาชิกอาวุโสของพรรคคองเกรสตกใจที่ความนิยมลดลงของพรรคพยายามที่จะฟื้นโชคชะตาของพวกเขาโดยการสนับสนุนของเธอที่จะมีส่วนร่วมในทางการเมือง พวกเขาอาจจะมีความคิดว่าเมื่อสภาคองเกรสได้รับการบูรณะให้ความนิยม, Sonia สามารถ marginalized เธอต่อต้านการเป็นสมาชิกในสภาคองเกรสจริงข้อเสนอของประธานาธิบดีของพรรคเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดก็เข้าร่วมกับพรรคคองเกรสในปี 1997 เธอกลายเป็นประธานาธิบดีของพรรคในปี 1998 จึงกลายเป็นสมาชิกคนที่ห้าของตระกูลเนห์รู - ตาม Motilal เนเยาวหราลเนห์รู, อินทิราคานธีรายีฟคานธี - ที่จะถือโพสต์นี้มีความสำคัญ ปีต่อมาในการเลือกตั้งทั่วไปที่เธอได้รับเลือกให้เข้ามานั่งในที่สุดในล๊แม้ว่าสภาคองเกรสได้รับความเดือดร้อนอับอายพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ในขณะที่เธอได้รับคำชมเชยสำหรับการบันทึกพรรคคองเกรสจากการสูญเสียที่สุดในเวลาเดียวกันของพรรคที่โชคร้ายอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2001 มีแอบและบางครั้งก็เปิดเผยมาประกอบกับ Sonia; แต่ถ้าเธอได้รับการตีความว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐน่าสงสาร ของพรรคคองเกรสชาติก่อนซึ่งเป็นแกนนำของอินเดียเป็นอิสระขบวนการที่สามารถได้รับการตัดสินอย่างเพียงพอจากข้อเท็จจริงที่ว่าพรรคคองเกรสของผู้นำคนอื่น ๆ คิดว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่ไม่มีเธอพวกเขาจะถูกสาปแช่งให้เสร็จสมบูรณ์การให้อภัย

โซเนียคานธีเป็นแหลมในบทวิจารณ์ของเธอจากการสอบสวนช้าของการสอบถามรอบการลอบสังหารสามีของเธอและทำให้ความลับของความคิดของเธอไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามของสามีของเธอและอวยพรป่วยคนอื่น ๆ กำลังมุ่งมั่นที่จะให้ความจริงจากประชาชน จะได้รับการถกเถียงกันอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเหตุผลที่รายการของเธอเองเข้าสู่การเมืองอาจจะได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากความปรารถนาที่จะให้ข้อกล่าวหาการทุจริตอย่างกว้างขวางในไม่กี่ปีสุดท้ายของนายกรัฐมนตรีของ
Rajiv จากการเป็นข้อเท็จจริงที่ประชาชนได้รับการพิสูจน์ ในกรณีที่การถกเถียงอื่น ๆ อีกมากมายได้ดื้อรั้นของเธอเข้าสู่การเมืองอินเดีย ฝ่ายตรงข้ามของเธอใน BJP และองค์กรฮินดูท์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชี้ไปที่ต้นกำเนิดต่างประเทศของเธอและกดออกมาน่ารังเกียจข้อเสนอแนะว่าประเทศยินดีที่จะถูกปกครองโดย "ชาวต่างชาติ" ที่เกินไปผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการเห็นได้ชัดว่าในความเป็นชายและ ความภาคภูมิใจ Sonia ได้รับสัญชาติอินเดียในปี 1983 และคำถามที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาว่าทำไมเธอ "ตราบใด" ที่จะได้รับสัญชาติอินเดีย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญอินเดียยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้หมายความว่าคนที่ได้รับสัญชาติโดยการแปลงสัญชาติจากการถือสำนักงานที่สูงที่สุดในแผ่นดินรายการของ Sonia สู่การเมืองกลายเป็นข้ออ้างในการเสนอข้อเสนอแนะว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้อง

ในการถกเถียงเหล่านี้เช่นที่พวกเขาจะมีการอธิบายฝ่ายตรงข้ามของโซเนียคานธีได้ดูโง่เหลือเกินและชาตินิยม มันน่าแปลกใจที่แทบจะไม่ฮินดูเจ็บแค้นควรมองไปที่สหรัฐอเมริกาซึ่งห้ามการเป็นประธานาธิบดีของตนให้ทุกคนที่ไม่ได้เกิดในประเทศที่เป็นตัวอย่างว่าอินเดียควรเลียนแบบ หนึ่งจะมีความคิดว่าในเรื่องในขณะที่คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่นี้ที่สหรัฐอเมริกากำหนดมาตรฐานไม่ได้เพื่อความเป็นอิสระหรือความใจกว้างของการตีความ แต่สำหรับการแสดงความรักชาติอย่างรุนแรงและลัทธิ ถ้าความจงรักภักดีอยู่ในคำถามพระราชบัญญัติสัญชาติอินเดีย 1955 เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง: ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่จะได้รับสิทธิการเป็นพลเมืองอินเดียเว้นแต่พวกเขาได้ละทิ้งความจงรักภักดีของพวกเขาอื่น ๆ แน่นอนถ้าผู้สนับสนุนของฮินดูท์มีแนวโน้มที่จะดูสมัครพรรคพวกของศาสนาอิสลามที่ได้รับในอินเดียมานานกว่า 1
,000 ปีขณะที่ "ชาวต่างชาติ" หนึ่งไม่ควรจะแปลกใจว่าอาร์กิวเมนต์คาดการณ์และคนเดินเท้าเดียวกันควรจะได้ถูกนำไปใช้กับโซเนียคานธี . สนับสนุนเหล่านี้ของฮินดูท์ได้ลงทุนน้อยลงในประเทศอินเดียกว่าคนทำเช่นแอนนี่ Beasant, หญิงไอริชตั้งรกรากอยู่ในประเทศอินเดียที่เป็นผู้สนับสนุนกระตือรือร้นของอินเดียปกครองตนเอง มีฝ่ายตรงข้ามของโซเนียคานธีตรึงอยู่กับความจริงที่ว่าเธอได้นำความคิดที่แตกต่างกันไม่มีจินตนาการไม่มีแน่นอนไม่ได้ส่วนน้อยนิดของพลังงานใหม่เข้าสู่การเมืองอินเดียพวกเขาอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและน้อยสะอิดสะเอียน ที่จะพูดนี้ไม่ได้โต้แย้งความจริงที่ว่าเป็นนักการเมือง, Sonia ได้เรียนรู้เครื่องมือของการค้าและการตัดสินใจของเธอในช่วงปลายปี 2002 ที่จะไม่เป็นเจ้าภาพในบัญชีของ "ความทุกข์ทรมานที่เกิดจากผู้คนในรัฐที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งหลาย และในรัฐคุชราตจลาจลตี "ส่วน iftar แบบดั้งเดิมของบุคคลที่จัดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพของประชาชนและมิตรภาพกับชาวมุสลิมในช่วงเดือน Ramzan ยาวจะต้องถือว่าอย่างน้อยก็ในส่วนหนึ่งเป็นสัญญาณของการเมืองอย่างจริงจัง สิ่งที่โซเนียคานธีของโชคชะตาทางการเมืองในที่สุดการปรากฏตัวทางการเมืองของเธอเองไม่ได้คำนวณเพื่อหายใจชีวิตใหม่เข้าสู่การเมืองอินเดียแม้ว่ามันอาจจะเป็นพื้นดินการฝึกอบรมสำหรับรุ่นต่อไปของ Nehrus







อันดับที่ 7 : ในฐานะที่เป็นท่านผู้หญิงแห่งทำเนียบขาว หรือ First Lady of the United States และเป็นผู้หญิงผิวดำที่ได้รับตำแหน่งนี้ นาง Michelle Obama จึงกลายเป็นไอคอนทางด้านแฟชั่น และตัวอย่างสำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้เธอยังกระตุ้นให้มีความใส่ใจในเรื่องของความยากจน เรื่องคุณภาพของอาหารการกินที่จะทำให้สุขภาพดี

มิเชล โอบามา (Michelle Obama) มีชื่อเต็มว่า Michelle LaVaughn Obama นามสกุลเดิมคือ โรบินสัน (Robinson) เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1964 (พ.ศ. 2507) ปัจจุบันอายุ 45 ปี บิดาคือ เฟรเซอร์ โรบินสัน เป็นชนชั้นแรงงาน ทำงานในโรงงานน้ำประปา ส่วนมารดาคือ มาเรียน โรบินสัน เป็นแม่บ้านและเลขานุการ "มิเชล" เติบโตมาในชุมชนคนผิวสีย่านเซาท์ชอร์ (SouthShore) อยู่ทางตอนใต้ของชิคาโก ฐานะครอบครัวของมิเชล ไม่ได้ร่ำรวยนัก เธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์เล็กๆ อย่างมีความสุข กับพ่อ แม่ และพี่ชาย เคร็ก โรบินสัน (Craig Robinson) โค้ชของทีมบาสเกตบอลชาย มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท

"มิเชล" จบการศึกษาด้วยดีกรีเกียรตินิยม จากคณะศิลปศาสตร์ วิชาเอกสังคมวิทยา วิชาโท แอฟริกัน-อเมริกันศึกษา จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (PrincetonUniversity) เมื่อปี 1985 (พ.ศ.2528) และจบปริญญาโทด้านนิติศาสตร์ จนได้คุณวุฒิ Juris Doctor (J.D.) จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (HarvardUniversity) เมื่อปี 1988 (พ.ศ.2530) ก่อนจะได้มาทำงานที่บริษัททนายความซิดลีย์ออสติน (Sidley Austin) ในชิคาโก

ขณะที่ทำงานอยู่ที่บริษัททนายความซิดลีย์ออสติน มิเชล ได้พบรักกับ บารัค โอบามา ที่เข้ามาทำงานในฐานะเด็กใหม่ เธอต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เขา และสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากในแผนกมีเธอและเขาเป็นคนผิวสีเพียง 2 คนเท่านั้น จนในที่สุดพวกเขาก็มีความประทับใจต่อกัน และนำไปสู่การแต่งงานเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1992 (พ.ศ.2535)

แต่หลังจากพ่อเสีย "มิเชล" ได้ลาออกจากบริษัททนายความ มาทำงานกับริชาร์ด เอ็ม. ดาเลย์ นายกเทศมนตรีชิคาโก เธอคอยช่วยเหลือบริการงานด้านสาธารณะมาตลอดเวลา จนปี 1996 มิเชลก็เข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยชิคาโก โดยเป็นคนจัดตั้งศูนย์บริการชุมชนขึ้นในมหาวิทยาลัย จากนั้นปี 2002 มิเชลได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการชุมชนของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิคาโก และเมื่อปี 2005 เธอได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานฝ่ายชุมชนและกิจการภายนอก

และเมื่อผู้เป็นสามี ที่อยู่ในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหนุ่มของรัฐอิลลินอยส์ ตัดสินใจเดินเข้าสู่สนามการเมืองระดับประเทศด้วยการลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มิเชล ก็คอยอยู่เคียงข้าง บารัค โอบามา ช่วยหาเสียง และกล่าวปราศรัยบนเวที ซึ่งหลายคนที่ได้ฟังต่างก็ประทับใจวาทะอันคมคายของเธอ นอกจากนี้ "มิเชล" ยังได้รับการยกย่องในเรื่องการวางตัว ทั้งด้านบุคลิกภาพ และการแต่งกายอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจากงานในชีวิตประจำวันแล้ว "มิเชล" ก็ยังให้เวลาแก่ลูกสาวทั้งสองคน คือ มาเลีย แอน โอบามา วัย 10 ปี และ นาตาชา โอบามา อายุ 8 ปี อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าแม้จะเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน แต่ก็ไม่ลืมที่จะใส่ใจและให้ความรักแก่ครอบครัวเลย อย่างที่เธอเคยพูดไว้ว่า
"ลูกๆ คือสิ่งแรกที่ฉันคิดถึงเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องคิดก่อนเข้านอน"

และนี่คือหญิงเก่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "บารัค โอบามา" และเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน ที่มีความเพียบพร้อมทั้งความรู้ และความสามารถ






อันดับที่ 8 : Christine Lagarde ตกเป็นข่าวพาดหัวเมือเธอเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ  International Monetary Fund แทนนาย  Dominique Strauss-Kahn ผู้อื้อฉาว

มาดาม Lagarde, ผู้หญิงใหม่ในวงการธุรกิจที่นี่ หลังจากจบการศึกษาจากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางการเมือง (IEP) และคณะนิติศาสตร์ของกรุงปารีส เธอก็บินไปทำงานเป็นทนายความที่ทนายความ Baker et Mac Kenzie อเมริกันและเปิดสำนักงานให้กับตัวเองในท้ายที่สุด

ในปี 2006 เธอได้รับเลือกจากนิตยสาร Forbes เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีประสิทธิภาพ 30 มากที่สุดของโลก เธอทำงานไม่เพียง แต่ด้วยสายตาของชาวอเมริกันในปี 2005 อดีตประธานาธิบดีของโทรศัพท์ De Ville แปงได้รับการทาบทามให้มาดาม Lagarde รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ

และในรัฐบาลที่ผ่านมาของประธานาธิบดีฟิลลียง เธอเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น โดยการกำกับดูแลกระเป๋าสตางค์ที่ทั้งหมด

จะต้องปฏิบัติตามที่มาดาม Lagarde ต่อไปจะจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศฝรั่งเศสกำลังเผชิญอย่างไรก็ตาม แล้วกลับมาเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำงานของเธอเกี่ยวกับโอกาสใหม่ที่จะมาถึง....






อันดับที่ 9 : Janet Napolitano เป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ US Department of Homeland Security นับว่าเธอเป็นผู้นำหน่วยงานที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของการเมืองอเมริกันเลยทีเดียว

Janet Napolitano เป็นเลขานุการในสามของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและเป็นผู้นำในความพยายามร่วมกันของประเทศชาติของเราเพื่อรักษาความปลอดภัยในประเทศของเราจากภัยคุกคามที่เราเผชิญ - จากการก่อการร้ายภัยพิบัติทางธรรมชาติ

เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามของการก่อการร้าย, Napolitano ได้อุปโลกน์ความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีการขยายตัวของรัฐบาลกลางการบังคับใช้กฎหมายของรัฐและท้องถิ่น - การสร้างความพยายามร่วมกันในการตรวจสอบและทำลายภัยคุกคามในช่วงต้น

เธอได้ริเริ่มใหม่แน่นอนกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเราปรับใช้บุคลากรเพิ่มเติมและเทคโนโลยีขั้นสูงในขณะที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเม็กซิโกในการต่อสู้กับแก๊งค้ายาเสพติดมีความรุนแรงระหว่างประเทศ - ส่งผลให้เกิดอาการชักที่เพิ่มขึ้นของของเถื่อนผิดกฎหมายตามแนวชายแดนและทั่วประเทศของเรา ภายใน

Napolitano ยังได้อุปโลกน์เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของเราและจัดลำดับความสำคัญความปลอดภัยของประชาชนในขณะที่การกำหนดเป้​​าหมายคนต่างด้าวทางอาญาและอุกอาจติดตามนายจ้างที่รู้เท่าทันใช้ประโยชน์จากแรงงานที่ผิดกฎหมาย

เธอมีความเข้มแข็งความสามารถของประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตอบสนองและการกู้คืนจากภัยพิบัติโดยการตัดผ่านเทปสีแดงและเร่งการตัดสินใจตามแนวชายฝั่งอ่าวให้ทรัพยากรใหม่ที่จะสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและเสริมความสามารถในการตอบสนองของพวกเขาและเรียกร้องให้ชาวอเมริกันทุกคนไป มีบทบาทสำคัญในความรับผิดชอบร่วมกันในการทำบ้านเกิดของเรามีความปลอดภัย

ในแต่ละพื้นที่เหล่านี้ - ต่อต้านการก่อการร้าย; การรักษาความปลอดภัยชายแดน; การบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองและการเตรียมความพร้อมภัยพิบัติการตอบสนองและการกู้คืน - Napolitano เป็นอาคารตามทักษะและทรัพยากรของกรมหนุ่มนี้โดยการปรับใช้ที่ดีที่สุดที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีให้; ตอกย้ำความร่วมมือกับรัฐ รัฐบาลท้องถิ่นและชนเผ่าและภาคเอกชน - ประเทศชาติของเราตรวจจับครั้งแรกและคนแรกที่ตอบ; และการดำเนินการทบทวนประสิทธิภาพหนาว่าจะทำให้กรม leaner หน่วยงานอย่างชาญฉลาดที่ดีพร้อมที่จะปกป้องประเทศชาติ

ก่อนที่จะกลายเลขานุการ Napolitano อยู่ในระยะที่สองของเธอในฐานะผู้ว่าการรัฐแอริโซนาและเป็นที่ยอมรับในฐานะที่เป็นผู้นำของชาติในด้านความมั่นคงการรักษาความปลอดภัยชายแดนและตรวจคนเข้าเมือง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นประธานสมาคมแห่งชาติและได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดผู้ว่าการรัฐในประเทศโดยนิตยสารไทม์ Napolitano ยังเป็นอัยการสูงสุดหญิงคนแรกของแอริโซนาและทำหน้าที่เป็นอัยการสหรัฐฯสำหรับเขตการปกครองของรัฐแอริโซนา

Napolitano เกิดในมหานครนิวยอร์กและเติบโตขึ้นมาในพิตส์เบิร์ก, เพนน์. และ Albuquerque, NM เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Santa Clara ที่เธอได้รับรางวัลทุนการศึกษาทรูแมนและเป็นมหาวิทยาลัยหญิงคนแรกของภาคเรียนและได้รับกฎหมายหมอของเธอจากมหาวิทยาลัย เวอร์จิเนียโรงเรียนกฎหมาย ก่อนจะเข้าสู่ที่สาธารณะสำนักงาน Napolitano ทำหน้าที่เป็นเสมียนผู้พิพากษาแมรีเมตรชโรเดอเมื่อศาลอุทธรณ์ศาลสหรัฐฯในรอบเก้าและมีประสบการณ์ด้านกฎหมายในฟินิกซ์ที่สำนักงานของลูอิสและ Roca

สุนทรพจน์ที่สำคัญ

การบรรยายชุดเลขานุการวิทยาเขต 2011

รัฐที่อยู่รักษาความปลอดภัยของอเมริกาบ้านเกิด, George Washington University, Washington, DC

27 มกราคม 2011

"ซ่อมสร้างรากฐานสำหรับการรักษาความปลอดภัยบ้านเกิดของอเมริกา"

หมายเหตุไปนิวยอร์ก Responders ครั้งแรกที่เมืองนิวยอร์คศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน

10 กันยายน 2010

หมายเหตุเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยการบินที่สโมสรข่าวแห่งชาติกรุงวอชิงตันดีซี15 เมษายน 2010

"สมาร์ทยากและร่วมกัน: วิธีอเมริกาต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของเรา"

หมายเหตุที่จอห์นเอฟเคนเนดี้จูเนียร์ Forum, ฮาวาร์ดสถาบันการเมือง15 เมษายน 2010






อันดับที่ 10 : Sheryl Sandberg ออกมาจาก Google ด้วยการชักชวนจาก Mark Zuckerberg ในปี 2008 เพื่อดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook ในช่วงที่ Facebook อยู่ในระยะของการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2011 คาดว่าเธอได้รับเงินเดือนค่าตอบแทนถึง $30,491,613.


("อย่าปล่อยให้ความกลัวของคุณเอาชนะความต้องการของคุณ.)

 

เพราะคุณไม่เคยรู้ ...ตัวตนที่แท้จริง ... ถ้าฉันไม่ได้รับการขึ้นที่จะลองชุด

จากแง่ "เชอริลเบิร์นแซนด์ (Sheryl Sandberg)"

ผู้คนทั่วโลกรู้เกี่ยวกับเชอริลเบิร์นแซนด์ (Sheryl Sandberg) ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของเว็บไซต์ Facebook สภาสามัญ (Facebook.com) เว็บไซต์ที่ # 1 ผู้ใช้ในหลายประเทศการขยายตัวปัจจุบันของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มี กว่า 700 ล้านคนทั่วโลกที่มีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ

Facebook

แต่ในวงการอื่น ๆ เธอเป็นที่รู้จักสำหรับบทบาทของหลายคนรวมทั้งประธานาธิบดีโอบามา, เธอเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโอบามา, วอลท์ดิสนีย์และ บริษัท Starbucks Coffee เธอยังเป็นหนึ่งในกรรมการ ส่วนใหญ่ของสตรีเหล่านี้มีเธอเป็นผู้นำทางความคิดก้าวหน้า เพราะ "เชอริล" ใช้ความสามารถของเธอที่จะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกที่จะเห็นว่า "สมาร์ทและยาก." ในตัวบุคคล เท่าใดรัศมีเดียวกันมี?

ชีวิตส่วนตัวของ Cheryl

เธอเกิดในกรุงวอชิงตันดีซีประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นนักเรียนจากห้องคอมพิวเตอร์ตลอด จบการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ทั้งการศึกษาระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษา ความกล้าหาญของเธอในผู้หญิงที่เป็นแม่ที่จะหยุดปริญญาเอก และออกจากการเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส ผมพูดกับแม่ของฉันที่ขัดขวางอย่างจริงจัง (เกี่ยวกับคนอื่น ๆ ) เกินไป (มากที่จะสนใจเด็ก)

 

เธอได้รับการมีชีวิตอยู่กับธุรกิจสำหรับในขณะที่ แต่ในปี 2004 เธอแต่งงานอีกครั้ง "เดวิดโกลด์เบิร์ก (เดวิดโกลด์เบิร์ก)" มีเพื่อนเป็นเวลาหลายปีที่จะกลายเป็นหุ้นส่วนในท้ายที่สุด ซึ่งเขาเองก็อยู่ในวงการเดียวกัน การเป็นเจ้าของการสำรวจเว็บออนไลน์ที่ชื่นชอบทั่วโลก SurveyMonkey และเด็ก ๆ ร่วมกันในปีถัดไป
เธอบอกว่าในอดีตที่ผ่านมาและอื่น ๆ อีกมากมาย อำนาจที่จะตื่นขึ้นมาหญิงสาวไม่หยุด ...
หยุดที่นี่ ไม่เคยหยุด ตามความฝันของพวกเขา ถึงแม้จะมีสามีและลูก ๆ ของเธอในการดูแลของ แต่ในความปรารถนาที่พลุ่งพล่านของเขาต่อไปยังหัวใจ และเมื่อฉันรู้ว่าฝันที่จะเป็นจริงขึ้นมาเมื่อ จากเพียงขั้นตอนแรก "ตัวหนา" การกระทำ

เด่นในอุตสาหกรรมไอที

เธอเป็นคนแรกในหมู่พนักงาน ในงานที่ Google, Inc ในปี 2001 ในตัวจัดการธุรกิจ (หน่วยธุรกิจผู้จัดการทั่วไป) และแล้วเธอเห็นโปรแกรมเมอร์ที่มีการออกแบบการประมูล "คำค้นหา (Keyword)" เพื่อให้ผู้ที่มีเว็บไซต์เหล่านี้ ลำดับความสำคัญที่ระบุไว้ ของการค้นหาผ่าน Google สภาสามัญ ระบบนี้จะเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ของ Google โฆษณาเวิร์ด (Google Adword)"

เธอจะจุดไฟเผาสมองที่ยอดเยี่ยมของเธอทำให้ระบบที่สอดคล้องกัน เรียกว่า "ความรู้สึกโฆษณาของ Google (Google Adsense)" นั่นก็คือ การโฆษณาบนเว็บไซต์ให้กับ Google ไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการกล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่หนึ่งเริ่มต้นการสร้างเว็บไซต์ เขาไม่สามารถได้รับเงินจาก Google โฆษณาโดยใช้ความรู้สึกโฆษณาของ Google ไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน บนเว็บไซต์ของตน ไม่ว่าจะเปิดหรือคลิกบนเว็บจะมีขนาดใหญ่ รายได้จากการโฆษณาเหล่านี้จะถูกส่งไปยังคุณทันทีในรูปแบบของการตรวจสอบ






อันดับที่ 11 : Oprah Winfrey เป็นผู้หญิงที่มีอาชีพทางด้านสื่อมานานเกือบ 30 ปี และยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก

เธอยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นคนผิวดำที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20 อีกทั้งยังเป็นหญิงผิวดำที่ใจบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงในขณะนี้เป็นมหาเศรษฐีผิวดำคนเดียวในโลกด้วย

ออเปร่าไม่เพียงเป็นนักจัดรายการ เจ้าแม่วงการสื่อเท่านั้น เธอเป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง โฆษกเป็นเจ้าของหนังสือนิตยสาสน์อีกหลายเล่มด้วยกัน เป็นนักจัดรายการวิทยุ เธอเป็นนักบุญผู้หาทุนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ เธอและเพื่อนสนิทลงทุนบินไปสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เพื่อทำรายการ Oprah Christmas Kindness เป็นรายการพิเศษเพื่อการกุศลเพื่อเผยแพร่ความยากจนในหมู่คนผิวสีในแอฟริกา รายการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมบริจาคมากมาย และได้รับเงินบริจาคจากผู้ชมทั่วโลกกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยกัน

สื่อวินฟรีย์ราชินีโอปราห์ การเจริญเติบโตของชีวิตครอบครัวยากจนสีดำในช่วงหกปีแรก อาศัยอยู่กับยายของฉัน ด้วยชื่อที่ไม่ดี ลีแฮแม่ อาศัยอยู่เป็นเด็ก เสื้อผ้าที่เธอสวม เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเป็นถุงมันฝรั่ง ฉันได้รับเด็ก ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงล้อเลียนเป็นประจำ คุณยายเป็นครูคนแรกที่สอนการอ่านที่อายุ 6 ขวบเธอย้ายไปอยู่กับแม่ของเธอมันเป็นช่วงญาติของเธอ รังแกและทำร้ายเป็นประจำ เธอเล่าให้ฟังว่าเธอถูกข่มขืนครั้งแรกที่เด็ก 9 ขวบเมื่อตอนที่เธออายุ 13 ปีเธอหนีออกจากบ้านเพราะพวกเขาทนต่อพฤติกรรมของคนเหล่านั้นไม่รู้จักพอตอนอายุ 14 ปีเธอเป็นลูกชายคนเดียวของเธอ คนแรกตาย หลังคลอด ในขณะที่แม่ของเธอถูกส่งไปยังรัฐในเมาน์เทนซี่ที่โรงละครโอเปร่าที่สดใสเปล่งปลั่งสดใส เธอมีปริญญาในสาขาการศึกษาและเป็นนักเรียนที่โหวตและที่โดดเด่นที่สุด เธอเข้าร่วมทีมอภิปรายของโรงเรียนและได้รับรางวัลที่สองในการแข่งขันที่จะชนะการแข่งขัน แต่บอกทาง มหาวิทยาลัยรัฐเทนเนสซี ให้ทุนการศึกษาฟรีจนจบ เรื่องการศึกษาที่ท่านเลือกที่จะศึกษาการสื่อสารระหว่างโรงเรียนเธอยังทำงานเป็นโฆษณาทางวิทยุสำหรับคนผิวดำเป็นครั้งคราวเช่นกัน สรรเสริญคุณยายของเธอที่สอนให้เธอเชื่อมั่นในตัวเองเธอได้งานหลังจากสำเร็จการศึกษาและอีกหลายแห่งที่มีชื่อเสียงมากขึ้นและอื่น ๆ

ในปี 1998 เธอตั้งเครือข่ายโอปราห์ของ Angel exposes สื่อเพื่อการกุศลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนยากจนและมีโอกาสน้อยกว่า ในวันที่สื่อได้บริจาคเงินมากกว่า $ 2000000000 บาทจากประเทศไทยในปี 2005 นิตยสารข้อความ งาน สัปดาห์ รายงานว่าเธอเป็นคนใจบุญที่บริจาคผิวได้ถึง 303,000,000 ดอลลาร์ที่เธอเคยได้รับการลงคะแนนจากคนที่บริจาคเงินมากที่สุด และด้านบน 32 มหาเศรษฐีเป็นบุญมากที่สุด แต่เธอก็ยังเป็นสัตว์ตัวยงโจมตี นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในการป้องกันการสึกหรอที่ทำจากขนสัตว์ เธอเคยทำงานเป็น บริษัท ด้านสื่อที่เป็นเจ้าของโดยเรือทั้งหมด พนักงาน บริษัท เอาไปฮาวาย Mao Hotel และพนักงานโรงแรมได้รับการต้อนรับเพื่อนของเธอ

เธอได้รับรางวัลมากมายจากรายการโทรทัศน์และเป็นผู้หญิงคนเดียวของสีเพื่อการฟื้นฟูโลกที่อุดมไปด้วย เธอจัดรายการ รายการที่นิยมมากที่สุดได้รับโปรแกรมคะแนนสูงสุดกว่าการพูดคุยใด ๆ แสดงที่เคยทำในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เธอก็ยังได้รับการลงคะแนนเสียงเป็นผู้หญิงคนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก โอบามาเป็นประธานาธิบดี เป็นหนึ่งในหนี้ที่ควั่นของความกตัญญูสำหรับเธอ เพราะเธอเป็นหนึ่งในหลักในการช่วยให้โอบามาหาเสียง และโอบามาได้รับรางวัลและลุกขึ้นไปที่ตำแหน่งสูงสุด โอเปร่าครอบครัวอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เมื่อ 42 ไร่ของที่ดินที่เรียกว่าดินแดนในรัฐแคลิฟอร์เนีย tha ฟอร์ท PA คฤหาสน์มีทั้งทะเลและภูเขาที่เธอได้มีบ้านในหลายรัฐเช่นอพาร์ทเม้นนิวเจอร์ซีย์มือในชิคาโกในคฤหาสน์ฟิชเชอร์ lsland นอกชายฝั่งของไมอามี่เป็นบ้านที่เล่นสกีในโคโลราโดในแอนติกาและที่ดินผืนใหญ่ในฮาวายบน ชีวิตส่วนตัวเปร่าไม่เคยมีการแต่งงาน เธอเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งชื่อ สเตดแมน ทำจากแป้งที่ยังไม่ได้ร่อน ตั้งแต่ปี 1986 เธอไม่ได้มีแม้แต่เด็กคนหนึ่ง มีความรัก โรงละครโอเปร่าที่ได้รับแฟน ๆ หลายคน ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะนักศึกษา ออนตาริสวนสาธารณะมีแฟนชื่อแอนโธนีโอเต้ทั้งสองได้กล่าวถึงขอบเขตในการตัดมันลงไปในโลงศพกัน แต่ที่อารมณ์ความรู้สึกของวัยรุ่น แต่ความรู้สึกลึก โอเต้เสมอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่เกินเอื้อมของเขา วันวาเลนไทน์และมันก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของโอเต้ เมื่อโอเต้เปร่าสารภาพกับเธอว่าเธอไม่ได้มีเวลาสำหรับความสัมพันธ์ของความรักกับเขา

เพราะเธอต้องการที่จะให้ความสำคัญอย่างมากในการศึกษาแทนหลายปีต่อมาโอเต้ไปสะดุดเมื่อมีข่าวว่าออร์แลนโด Opera เคยถูกข่มขืนและเป็นผู้ให้กำเนิดในอดีตที่ผ่านมา แต่ยังโอเต้จดหมายรักถึงทุกอย่างที่เขาและเธอร่วมกัน ระหว่างคนทั้งสองรักกัน ไม่นานหลังจากที่เลิกกับโอเต้ ออร์แลนโด Opera พบรักใหม่กับชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อวิลเลียม Bubba เทย์เลอร์ซึ่งเธอสารภาพว่าเธอยังอนุญาตให้เขาใช้ชีวิตของเขา เทย์เลอร์ดำเนินงานจะช่วยให้เธอทำทุกอย่างเพื่อให้เทย์เลอร์ไว้ที่หัวเข่าของเธอในด้านหน้าของเขาแม้หลังจากที่อ้อนวอนของเธอสำหรับเขาที่จะย้ายไปที่บัลติมอร์ แต่เขาปฏิเสธเมื่อเปร่าสารภาพในภายหลังว่าชายคนนี้ของเธอและ มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากที่สุด และความรักคือความรักที่เธอไม่สามารถลืมชีวิตของเราทั้งหมด

ความรักที่เกิดขึ้นอีกครั้งคือการรักผู้ชายของเธอกับครอบครัวที่จะรัก เธอยังเขียนจดหมายการฆ่าตัวตายจะเป็นเพื่อนสนิท ขอร้องให้เขาลงไปในน้ำต้นไม้หลังจากการตายของเธอ หลังจากนั้นเธอก็สารภาพว่าเธอไม่ได้ฆ่าตัวตาย เธอกลัวมันหลังจากที่พยายามจะฆ่าตัวตาย เธอยังสารภาพว่า เธอมีความสัมพันธ์กับผู้ชายสี่ปีด้วยกัน แต่ทั้งสองไม่เคยอยู่ด้วยกัน เมื่อเธอมีความรู้สึกไร้ค่าโดยไม่มีเขา เมื่อเขาปฏิเสธเธอ เธอกลับไปให้เขา และในท้ายที่สุด เธอเอื้อมมือไปที่หัวเข่าของเขาก่อนที่เขาอ้อนวอนเขาเพื่อให้เขาจากเธอ

ผู้หญิงคนนี้ถึงแม้จะเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจนและแตกแยก แต่ด้วยความปรารถนาอันแรงก​​ล้า ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เช่นเดียวกับภูเขาหินแข็งที่ตรงกับชายอกสามศอกอาจเป็นเรื่องยาก เธอไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ทุกอย่างในชีวิตที่มีการดำเนินการในการต่อสู้เพื่อให้บรรลุ ชื่อเสียงในฐานะที่ทั้งสองจะถูกสร้างขึ้นบนความสามารถของเธอคนเดียว รายการของแต่ละวันเธอสามารถดึงดูดถึง 14 ล้านคนหลายครั้งที่รายการที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วนของเพื่อนร่วมงานของเธอ

เธอบอกว่าปีที่ผ่านมาในตอนท้ายรายการ 2011 ออกอากาศทุกครั้งหลังจาก 25 ปี แต่ในตอนท้ายของการออกอากาศที่เธอนำมาใช้เพื่อทำให้เธอมีบทบาทในอุตสาหกรรมสื่อ ไม่ว่าเธอจะทำมันและเงินจะต้องมาหาฉัน เธอเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังรายการที่แตกต่างกัน แทนที่จะแสดงตัวเองออก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ต่อไปคือ ผมชื่นชมและโลกทั้งโลกจะอิจฉาความสามารถของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ และบอกว่าเธอจะได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เหล็กเป็นขั้นตอนแรกของลูกคนแรก เพื่อดาวสว่างที่เท้าของเธอด้วยสองเท้านำ ... อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้รับประโยชน์ให้กับสังคมที่ให้โอกาสสำหรับคนอเมริกันไม่ว่าจะมีประวัติศาสตร์อย่างใด เฉพาะผู้ที่มีสมองและสามารถคว้าโอกาสที่เปิดอยู่ บวกกับโชคเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาจะมีชีวิตที่เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวทันที และด้วยความที่เธอเกิดในประเทศที่เสรีภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริงเธอสามารถเอาชนะตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นดีเจและร่ำรวยที่สุดในโลก โอเปร่าวินแช่แข็ง มันอาจจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียบง่าย ซึ่งในอนาคตไร้สายสุจริตเพราะสังคมและสิ่งแวดล้อม ตาประชาชนไม่พึงประสงค์เปิดปาก ซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตกโดยทั่วไป






อันดับที่ 12 : เมื่อปีที่แล้ว บริษัท PepsiCo เพิ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทร่ำรวยขึ้นอีกถึง  $5.6 พันล้านเหรียญ เมื่อบริษัทนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เป็นยอดรายได้รวมทั้งสิ้น $66 พันล้าน

อย่างไรก็ตาม บริษัทนี้ก็ยังมีงานที่ต้องทำอีกมากในการไล่ตามคู่แข่งในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม คือ Coca-Cola

ผู้บริหารคนใหม่จะถือเป็นซีอีโอคนที่ 9 ของบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่และเป็นที่รู้จักในนาม "ยักษ์ฟ้า" ที่มีอายุยาวนาน 100 ปี และยังเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดที่เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทด้วย

 นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารหญิงของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐตามการจัดอันดับ 50 ผู้บริหารหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของฟอร์จูน แมกาซีน ซึ่งรวมถึงเออร์ซูลา เบิร์นส์ซีอีโอบริษัทซีร็อกซ์ และเมค วิธแมน อดีตซีอีโอของบริษัทอีเบย์ที่เพิ่งย้ายมารับตำแหน่งซีอีโอให้บริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด

 นายพัลมิซาโน ระบุว่า โรเมตตี้สามารถนำพาธุรกิจสำคัญๆ ของไอบีเอ็มให้ประสบความสำเร็จได้ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และยังเป็นซีอีโอในอุดมคติที่จะสามารถนำไอบีเอ็มก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 ได้

 "จินนี่มีวิธีการคิดวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว และโฟกัสกับตลาดที่เรามองว่ามันจะเติบโตได้อนาคต ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์ คอมพิวติ้ง, ระบบวิเคราะห์ไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือวัตสัน ที่ทำออกมาเป็นเชิงพาณิชย์ได้" นายพัลมิซาโน กล่าว

 ขณะที่นางสาวโรเมตตี้ กล่าวว่า ทุกวันนี้กลยุทธ์และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของไอบีเอ็มดีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือดำเนินการต่อ และทำให้ลูกค้า และผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง

 นายเบน เรตเซส จากบาร์คเลย์ส แคปิตอล เผยว่า การประกาศตั้งนางสาวโรเมตตี้เป็นผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการเก็งกันว่าเธอจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว

 ทั้งนี้ว่าที่ซีอีโอหญิงจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และเข้าร่วมงานกับไอบีเอ็มตั้งแต่ปี 2524 ในตำแหน่งวิศวกรระบบ

 





อันดับที่ 13 : Irene Rosenfeld ชาวนิวยอร์กโดยกำเนิด ในปีนี้เธอต้องเข้ามาดูแลการแยกบริษัท Kraft's North American ซึ่งเป็นธุระกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่จะทำการแยกธุระกิจสินค้าประเภทของขบเคี้ยวออกเป็น 2 บริษัทมหาชนที่ไม่ขึ้นต่อกัน ... บริษัทตัดการจ้างงาน 1600 คน และปิดสำนักงานได้ 3 แห่ง






อันดับที่ 14 :  คาดกันว่า Stefani Joanne Angelina Germanotta วัย 25 ปี ขายอัลบั้มเพลงของเธอได้ถึง 23 ล้านแผ่น และ 64 ล้านแผ่นของอัลบั้มซิงเกิ้ลทั่วโลก ซึ่งทำให้เธอเป็นนักร้องคนหนึ่งที่ติดอันดับ the

best-selling music artists ตลอดกาล

วันเกิด28 มีนาคม พ.ศ. 2529อายุ27 ปีอาชีพนักร้อง นักเต้น นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง นักธุรกิจการศึกษาโรงเรียนศิลปะทิสช์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ผลงานที่ผ่านมา


 

สตูดิโออัลบั้ม


2008: เดอะเฟม (The Fame)

2009: เดอะเฟมมอนสเตอร์ (The Fame Monster)


ทัวร์คอนเสิร์ต


2008: The Fame Ball Tour

2009: The Monster Ball Tour

โจแอนน์ สเตฟานี แอนเจลินา เจอร์มาน็อตตา หรือที่รู้จักในนาม เลดี้ กาก้า (อังกฤษ: Lady GaGa) เป็นศิลปินเพลงป็อบชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1986 เริ่มแสดงดนตรีครั้งแรกกับวงร็อกในนิวยอร์ก ฝั่งตะวันออกทางใต้ ในปี ค.ศ. 2003 เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะทิสช์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ต่อมาได้รับการเข้าสังกัดค่ายอินเตอร์สโคป และต่อสัญญากับค่ายสตรีมไลน์ ในเครืออินเตอร์สโคปในปี ค.ศ. 2007 เธอเคยเขียนเพลงให้กับศิลปินร่วมสังกัด ความสามารถด้านพลังเสียงของเธอไปเข้าตา Akon และได้เซ็นสัญญากับ คอนไลฟ์ดิสทริบิวชัน


The Fame อัลบั้มแรกของเธอ ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2008 สามารถขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ และสามารถติดชาร์ต 1 ใน 10 อันดับแรกในอีกหลายประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ที่สามารถทำสถิติขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในอันดับที่ 2 และขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบั้มเพลงแดนซ์/อิเล็กทรอนิกส์ ของบิลบอร์ด และอีกสองเพลงเปิดตัว คือ Just Dance และ Poker face ที่กาก้าร่วมแต่งและผลิตกับเรดวัน ก็เป็นที่นิยมและขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในหลายประเทศ รวมถึงชาร์ตอันดับต้น ๆ ของบิลบอร์ดฮอต 100 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้ม The Fame ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่มากถึง 6 สาขารางวัล และได้รับรางวัลในสาขาอัลบั้มเพลงอิเล็กทรอนิกส์/เพลงแดนซ์ยอดเยี่ยม และรางวัลเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมจากเพลง Poker Face ต้น ค.ศ. 2009 เธอออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในชื่อ The Fame Ball Tour และในปลายปีเดียวกัน เธอได้ประกาศวางจำหน่ายอัลบั้มเสริม The Fame Monster เป็นอัลบั้มต่อจากอัลบั้มเปิดตัว The Fame อัลบั้มนี้ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 6 สาขารางวัล สามารถขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งด้วยซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้ม คือ Bad Romance และได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่สอง The Fame Monster Ball Tour ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ซึ่งขณะนี้กาก้ากำลังอยู่ในระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตและทำสตูดิโออัลบั้มที่สอง Born This Way อัลบั้มใหม่ของเธอนี้ จะวางจำหน่ายในต้น ค.ศ. 2011


กาก้าได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงแนวแกลมร็อก โดยมีศิลปินอย่างเดวิด โบวี และวงควีน รวมทั้งนักร้องเพลงป็อป เช่น มาดอนนา และไมเคิล แจ็กสัน อีกทั้งแฟชั่น ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงและการแสดงของเธอ กาก้าอยู่ในอันดับที่ 73 ของศิลปินยุคคริสต์ทศวรรษที่ 2000 โดยการจัดลำดับของบิลบอร์ด ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 ยอดขายอัลบั้มของเธอทะลุ 15 ล้านสำเนา และ 51 ล้านซิงเกิลทั่วโลก นิตยสารไทม์ส จัดลำดับให้เลดี้ กาก้า อยู่ในรายชื่อไทม์ส 100 ที่รวบรวมบุคคลทรงอิทธิพลต่อโลกประจำ ค.ศ. 2010 และใน 100 อันดับบุคคลที่มีชื่อเสียงที่มีอิทธิพลต่อโลก ส่วนนิตยสารฟอบส์ ได้จัดอันดับให้เธออยู่ในอันดับที่ 7 ของผู้หญิงทรงอำนาจที่สุดในโลกประจำ ค.ศ. 2010

 






อันดับที่ 15 : Virginia Rometty เธอดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัท IBM ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นผู้บริหารสูงสุดหญิงคนแรกในช่วงระยะเวลาหนึ่งศตวรรษของประวัติศาสตร์บริษัมเทคโนโลยี่แห่งนี้แม้ว่าโดยปกติแล้ว เธอจะเป็นคนที่ชอบเก็บตัว แต่เธอเข้ามาสู่ความสนใจของผู้คนในเดือนเมษายน เมื่อสมาคมกอล์ฟ Augusta National Golf Club ได้เปลี่ยนนโยบายในการรับสมาชิก จากเดิมที่รับเฉพาะผู้ชายเท่านั้น และไม่เชิญหญิงที่เป็นผู้นำองค์กรคนใหม่ของ IBM ให้มาเป็นสมาชิก






อันดับที่ 16 : Fernández de Kirchner ประธานาธิบดีหญิงคนที่สองของของอาร์เยนตินา (คนแรกคือ Isabel Martínez de Perón, 1974-1976) ได้ทำการเขย่าวงการเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา เมื่อเธออนุญาติให้นักกีฬาชุดโอลิมปิกของอาร์เยนตินามีการโฆษณาอันเป็นการก่อให้เกิดการโต้แย้งในเรื่องที่ประเทศอังกฤษครอบครองหมู่เกาะ Falkland Islands และทำให้ประเทศเจ้าภาพไม่พอใจอย่างยิ่






อันดับที่ 17 : คุณ Ursula Burns เป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่เข้ามาบริหารงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา เธอเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท Xerox ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

ปีนี้เธอกล่าวประนามสมาคม Augusta National Golf Club's ที่มีนโยบายการรับสมาชิกชายล้วนเท่านั้น โดยเธอกล่าวว่า หากสมาคมไม่เปลี่ยนนโยบายแล้วละก็ Xerox ก็จะไม่เป็นผู้สนับสนุนรายการแข่งขันกอล์ฟอีกต่อไป และในเดือนนี้เอง สมาคมกอล์ฟแห่งนี้ก็เปิดให้ผู้หญิงสมัครเป็นสมาชิกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี






อันดับที่ 18 : นาง Meg Whitman อดีตผู้บริหารสูงสุดของบริษัท eBay ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งผู้ว่าราชการของรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2010 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

เธอเข้ารับตำแหน่งผู้นำของบริษัท Hewlett-Packard ในเดือนมกราคม ปี 2011 ... บริษัท Hewlett-Packard ดิ้นรนอยู่ในแวดวงของธุระกิจเทคโนโลยี่ และแม้ว่าธุระกิจของ Hewlett-Packard อาจจะมียอดขายลดลงราวร้อยละ 25 ในปีนี้ แต่คุณ Meg Whitman ก็ยังมีทรัพย์สินมูลค่า $1.4 พันล้านเหรียญเหนาะๆ เพราะหุ้นของอีเบย์ที่เธอถืออยู่ราคาสูงขึ้นถึง 50 เปอร์เซนต์






อันดับที่ 19 : นาง อองซาน ซูจี นักการเมืองฝ่ายค้านของพม่า และหัวหน้าพรรคสันนิบาตประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า เคยถูกจองจำภายใต้การกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านในประเทศพม่าเป็นเวลาเกือบ 15 ปีในช่วงเวลา 21 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1989 จนในที่สุดเธอก็ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2010

ในเดือนมิถุนายน 2012 เธอได้กล่าวคำปราศัยเพื่อรับรางวัลโนเบลที่เธอได้รับรางวัลตั้งแต่ปี 1991 ในที่สุด นอกจากนี้เธอยังได้รับการต้อนรับราวกับเป็นคนในราชวงศ์ก็ไม่ปาน ในระหว่างการเดินทางเยือนยุโรป

เส้นทางชีวิตและการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยขวากหนามของหญิงเหล็กนาม อองซานซูจี (มติชนออนไลน์)

วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2488 ทารกหญิงนาม อองซานซูจี ลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรก เธอคือบุตรสาวคนสุดท้องของนายพลอู ออง ซาน "วีรบุรุษอิสรภาพของประเทศพม่า" ผู้นำการต่อสู้กับญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร จนนำไปสู่การได้รับอิสรภาพเป็นรัฐเอกราชของสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 และนางดอว์ขิ่นจี

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2490 นายพลอู ออง ซาน ถูกลอบสังหาร ก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราช ขณะที่ออง ซาน ซูจี มีอายุเพียง 2 ขวบ


พ.ศ. 2503 ดอว์ขิ่นจี มารดาของ ออองซานซูจี ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่าประจำประเทศอินเดีย ซูจี จึงถูกส่งเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่ประเทศดังกล่าว

พ.ศ. 2507 - 2510 อองซานซูจี เดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่เซนต์ฮิวจส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ในช่วงเวลานั้น เธอได้พบรักกับ "ไมเคิล อริส" นักศึกษาสาขาวิชาอารยธรรมทิเบต ภายหลังจบการศึกษา เธอเดินทางไปมหานครนิวยอร์ก เพื่อเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการประจำคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณและการจัดการ ของสำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เป็นเวลา 3 ปี โดยในช่วงเวลาดังกล่าว องค์การสหประชาชาติมีเลขาธิการเป็นชาวพม่าชื่อนายอูถั่น

พ.ศ. 2515 อองซานซูจี แต่งงานกับ ไมเคิล อริส และย้ายไปอยู่กับสามีที่ราชอาณาจักรภูฏาน ซูจี ได้งานเป็นนักวิจัยในกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลภูฏาน ขณะที่ไมเคิลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากรมการแปล รวมทั้งทำหน้าที่ถวายการสอนแก่สมาชิกของราชวงศ์ภูฏาน


พ.ศ. 2516 - 2520 อองซานซูจี และสามีย้ายกลับมาพำนักที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อริสได้งานสอนวิชาหิมาลัยและทิเบตศึกษา ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ส่วน ซูจี ให้กำเนิดบุตรชายคนแรก "อเล็กซานเดอร์" ในปี พ.ศ. 2516 และบุตรชายคนเล็ก "คิม" ในปี พ.ศ. 2520 ในช่วงเวลานี้ ซูจี เริ่มทำงานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับชีวประวัติของบิดาและยังช่วยงานวิจัยด้านหิมาลัยศึกษาของสามีด้วย

พ.ศ. 2528 - 2529 อองซานซูจี ได้รับทุนวิจัยจากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ให้ไปทำวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของนายพลอู ออง ซาน ที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ไมเคิล อริสได้รับทุนให้ไปทำวิจัยที่ Indian Institute of Advanced Studies ที่เมืองซิมลา ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ต่อมา ซูจี ได้รับทุนให้ไปทำวิจัยที่ Indian Institute of Advanced Studies เช่นกัน

พ.ศ. 2530 อองซานซูจี และสามีพาครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ London School of Oriental and African Studies ณ กรุงลอนดอน โดยทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับวรรณคดีพม่า

เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ในวัย 43 ปี เดินทางกลับบ้านเกิดที่กรุงย่างกุ้ง เพื่อมาพยาบาล ดอว์ขิ่นจี มารดาที่กำลังป่วยหนัก ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศพม่า ประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาชุมนุมเคลื่อนไหวกดดันให้นายพลเนวินที่ยึดอำนาจการปกครองมายาวนานถึง 26 ปี ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP)

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 นายพลเนวินลาออกจากตำแหน่ง จนตามมาด้วยการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาและประชาชนหลายแสนคนในกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงของพม่า ก่อนที่การชุมนุมจะแพร่ลามไปทั่วประเทศ

วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุมของประชาชนนับล้านคนที่รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ ทั่วประเทศพม่า ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมหลายพันคนเสียชีวิต ทั่วโลกรู้จักเหตุการณ์ดังกล่าวในนาม "เหตุการณ์วันที่ 8 เดือน 8 ปี 88 (ค.ศ. 1988)"

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2531 อองซานซูจี ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชนประมาณ 500,000 คนที่มาชุมนุมกัน ณ มหาเจดีย์ชเวดากอง เธอเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้ง "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ" หรือ สลอร์ค (The State Law and Order Restoration Council : SLORC) ขึ้นแทน รวมทั้งได้ทำการปราบปรามสังหารและจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคน

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ได้ร่วมจัดตั้ง "พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย" หรือเอ็นแอลดี (National League for Democracy: NLD) ขึ้นมา และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531 มารดาของ อองซานซูจี คือ ดอว์ขิ่นจี เสียชีวิต

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 รัฐบาลทหารพม่าใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกสั่งกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี ให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรก เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีข้อหา และได้จับกุมสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจำนวนมากไปคุมขังไว้ที่เรือนจำอินเส่ง ซูจี อดอาหารเพื่อประท้วงและเรียกร้องให้นำเธอไปขังรวมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ ต่อมาเธอยุติการอดอาหารประท้วงเมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารให้สัญญาว่าจะปฏิบัติต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีซึ่งถูกคุมขังไว้ในเรือนจำเป็นอย่างดี

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แม้ว่า อองซานซูจี ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ แต่พรรคเอ็นแอลดีของเธอกลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในนามของสลอร์คปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ผู้ชนะการเลือกตั้ง ทว่าได้ยื่นข้อเสนอให้ ซูจี ยุติบทบาททางการเมืองด้วยการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ประเทศอังกฤษ เธอปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณ อองซานซูจี จาก 3 ปี เป็น 5 ปี และเพิ่มเป็น 6 ปีในเวลาต่อมา

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ประกาศให้ อองซานซูจี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่เธอไม่มีโอกาสเดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน อเล็กซานเดอร์และคิมเดินทางไปรับรางวัลแทนมารดาที่กรุงออสโล อเล็กซานเดอร์กล่าวกับคณะกรรมการและผู้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีว่า "ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้องให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ"

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 อองซานซูจี ได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งแรก แต่เธอไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ เพราะถูกห้ามไม่ให้ปราศรัยต่อหน้าฝูงชน และเมื่อเธอพยายามเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อไปพบปะฝูงชน เจ้าหน้าที่รัฐจะติดตามไปทุกแห่งหนพร้อมกับจัดตั้งฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งมาพยายามทำร้ายเธอและเพื่อนร่วมคณะ ซูจี จึงดำเนินการต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี ผ่านการใช้วิธีเขียนจดหมาย เขียนหนังสือ บันทึกวิดีโอเทป เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทหารพม่าของเธอออกมาสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง

เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2541 อองซานซูจี นั่งประท้วงอยู่ในรถยนต์ของเธอเป็นเวลาห้าวัน หลังจากถูกตำรวจสกัดขัดขวางไม่ให้รถยนต์คันดังกล่าวเดินทางออกจากกรุงย่างกุ้งเพื่อไปพบปะกับบรรดาสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี

เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2541 อองซานซูจี ถูกสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไปพบปะกับบรรดาสมาชิกพรรคของเธออีกครั้งหนึ่ง เธอใช้ความสงบเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลาหกวัน กระทั่งเสบียงอาหารที่เตรียมไปหมด จากนั้น ซูจี ถูกบังคับให้กลับไปยังบ้านพักในย่างกุ้ง



"The Raven Crown: The Origins of Buddhist Monarchy in Bhutan" ผลงานวิชาการชิ้นสำคัญของไมเคิล อริส เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2537 ขณะอาศัยอยู่กับออง ซาน ซูจี ภายในบ้านพักที่ถูกกักบริเวณ ณ กรุงย่างกุ้ง



วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2542 ไมเคิล อริส เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ประเทศอังกฤษ โดยก่อนหน้านั้นอริสพยายามขอวีซ่าเข้าประเทศพม่าเพื่อพบกับ อองซานซูจี เป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงที่เขากำลังป่วยหนัก แต่รัฐบาลทหารไม่อนุมัติวีซ่าให้โดยอ้างว่าในประเทศพม่าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยอย่างเขา ขณะเดียวกันรัฐบาลเผด็จการกลับพยายามผลักดัน อองซานซูจี ให้เดินทางออกนอกประเทศไปเยี่ยมเยียนผู้เป็นสามี แต่ ซูจี ซึ่งขณะนั้นกำลังพ้นโทษจากการถูกกักบริเวณ ไม่มีความประสงค์ที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เพราะวิตกว่าเธอจะไม่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางกลับมายังพม่าอีก

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2543 อองซานซูจี และสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจะเดินทางไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แต่ถูกตำรวจสกัดกั้นไม่ให้เดินทางออกพ้นชานกรุงย่างกุ้ง ซูจี ยืนยันที่จะดำเนินการตามเจตนารมณ์ของตนเอง โดยใช้วิธีเผชิญหน้ากับตำรวจอย่างสงบอยู่ ณ จุดที่ถูกสกัดเป็นเวลานานเก้าวัน จนถึงวันที่ 2 กันยายน ตำรวจปราบจลาจลร่วม 200 นายพร้อมอาวุธครบมือจึงได้บังคับนำเธอกลับเข้าเมือง สองสัปดาห์ต่อมา ซูจี พร้อมคณะผู้นำพรรคฝ่ายค้านเดินทางไปที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วโดยสารออกจากเมืองย่างกุ้ง แต่รัฐบาลทหารได้ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษไปควบคุมตัวเธอกลับบ้านพัก พร้อมทั้งวางกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมจุดต่างๆ บนถนนหน้าบ้านพักของ ซูจี และไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าพบปะเยี่ยมเยียนเธอ

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 อองซานซูจี ถูกกักบริเวณโดยปราศจากข้อกล่าวหาและความผิดอีกเป็นครั้งที่สอง เป็นเวลานาน 18 เดือน

เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2545 อองซานซูจี ได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งที่สอง

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2546 เกิดเหตุปะทะกันระหว่างมวลชนจัดตั้งของรัฐบาลกับกลุ่มผู้สนับสนุน อองซานซูจี ระหว่างที่เธอเดินทางไปพบปะกับประชาชนในเมืองเดพายิน ทางตอนเหนือของพม่า ทำให้ ซูจี ถูกสั่งกักบริเวณให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านพักอีกเป็นครั้งที่สาม ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีเดียวกัน



วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550 คณะสงฆ์และประชาชนที่รวมตัวกันประท้วงรัฐบาลทหารพม่าเดินทางไปยังบ้านพักของ อองซานซูจี เธอได้ออกมาปรากฏตัวหน้าบ้านพักเป็นเวลา 15 นาที พร้อมกับพนมมือไหว้พระสงฆ์ที่กำลังให้พร การปรากฏตัวครั้งนี้นับเป็นการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในรอบ 4 ปีของ ซูจี

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 นายจอห์น ยิตทอว์ ชาวอเมริกัน ได้ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบไปยังบ้านพักที่ อองซานซูจี ถูกกักบริเวณอยู่ เขาอาศัยอยู่กับ ซูจี เป็นเวลาสองคืน ก่อนจะว่ายน้ำกลับมายังอีกฝั่งและถูกทหารพม่าจับกุมตัวในที่สุด

วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 อองซานซูจี ถูกจับกุมตัวและนำไปคุมขังในเรือนจำอินเส่ง ในข้อหาละเมิดคำสั่งกักบริเวณของรัฐบาลทหารพม่า

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ศาลพม่าอ่านคำพิพากษาว่า อองซานซูจี มีความผิดข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศมีโทษจำคุก 3 ปี แต่รัฐบาลทหารพม่าให้ลดโทษลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 18 เดือน และไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอินเส่ง แต่ให้กลับไปถูกควบคุมตัวในบ้านพักเช่นเดิม จากโทษครั้งนี้ทำให้ ซูจี อาจไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปของพม่าที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ด้านนายจอห์น ยิตทอว์ ถูกศาลสั่งจำคุกและใช้แรงงานเป็นเวลา 7 ปี ตามความผิด 3 ข้อหา ซึ่งประกอบด้วยความผิดข้อหาละเมิดความมั่นคง 3 ปี เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย 3 ปี และว่ายน้ำอย่างผิดกฎหมายในที่ห้ามว่ายเป็นเวลา 1 ปี

 


อันดับที่ 20 : Maria das Graças Silva Foster วัย 58 ปี ผู้บริหารสูงสุดของ Petrobras-Petróleo ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน ซึ่งปัจจุบันผลิตน้ำมันร้อยละ 91 และร้อยละ 90 ของแก๊สธรรมชาติของบราซิล

เนื่องด้วยการผลิตน้ำมันและแก๊สจะยังคงเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจของโลก นักวิเคราะห์รายงานว่า กำลังการผลิตของบริษัทPetrobras-Petróleo มีความสำคัญต่ออนาคตของโลกทีเดียว.........